วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

กระทู้เตือนภัยลัทธิอนุตตรธรรม



ขออนุญาตินำเอากระทู้เตือนภัยที่เพื่อนเราเขียนไว้ที่เว็บพันทิปมาให้ได้อ่านกันสักหน่อยครับ  ถือว่าเตือนภัยกันเพื่อให้ทุกท่านได้ทราบข่าวเพื่อเราหรือลูกหลานจะได้ไม่หลงเข้าไปยังลัทธิอนุตตรธรรมตามที่เพื่อนเราเขียนเตือนไว้ครับ ขอขอบคุณ "น้องต๋าว" ที่ได้เขียนสิ่งอันเป็นประโยชน์ดังนี้ครับ >>


^^ถอดความจากภาพบน^^


สั้นๆ กระทู้เตือนภัย ---- อนุตตรธรรม ----


ที่ขึ้นกระทู้นี้ เพราะเมื่อวาน ไปเจอคนที่นับถืออนุตตรธรรมพยายามมาชักชวนไปเข้าลัทธิอย่างจริงจัง   ไอ่เราก็ชาวพุทธชั้นดี แย้งไปเสียทุกข้อ

โธ่..ก็ข้อที่ยกมาแต่ละอย่าง มันมีแต่คนที่ไม่ได้โน้มใจไปพิจารณา เทียบเคียงกับพระธรรมคำสอนพระพุทธองค์เท่านั้นแหละจะเชื่อ(แต่จะมีสักกี่คนที่จะพิจารณาแบบนี้ สาวกลัทธินี้ จึงมีอย่างมากมาย)

ง่ายๆเขาจะชวนไป 'รับธรรมะ' ศัพท์ของลัทธินี้เขา หลักการคือให้กินเจระยะหนึ่ง แล้วไปรับธรรมะ การเจิมหน้าผาก  หลังจากนั้นให้นั่งสมาธิทุกวัน  กินเจ ตลอดชิวิต แล้วได้ไปนิพพาน ..มันง่ายดีจริงๆ

มีมากกว่านั้นอีก คือ ถ้าไม่ไปรับธรรมะกับเขา จะไม่มีรายชื่อบนสวรรค์
ถึงปฎิบัติภาวนาจนเข้าพระนิพพานแล้ว ก็เข้าแดนพระนิพพานไม่ได้
ต้องกลับลงมารอ การรับธรรมะจากเขา เพราะเขายังไม่ได้เปิดจุด  มโนทวารบนใบหน้าให้เรา ( --" )

อ้างว่าคนทุกคน มีจิตบริสุทธิ์ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากแดนนิพพาน(นิพพาน คือ หมดเชื้อเกิดแล้ว มันจะมาจากแดนนิพพานได้อย่างไร แต่อนุตตรธรรมมันก็อ้างมาได้ ไปค้นเรื่องจิตเดิมแท้ มาสนับสนุนตน)     ถือโอกาสที่พระพุทธเจ้า สอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย(แปลสั้นๆสำหรับคนไม่ทราบว่า คือ  สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องไปรู้)
ในเมื่อ พระพุทธองค์ไม่บอกว่าคนเรามาจากไหน    แต่ลัทธิเขารู้ บอกได้ (แน่นอน เขาไม่ยอมรับว่าเป็นลัทธิ แต่อ้างว่าธรรมอันเที่ยงแท้ รากฐานของการใช้ชิวิต ก็แน่ละ มันไปเอาแก่นของดีของทุกศาสนามาใช้นี่หว่า)  
อนุตตรธรรมอ้างอีกด้วย ว่าพระพุทธองค์ได้บอกใบ้ เป็นการรู้กันกับพระมหากัสปะ เรื่องผู้คนมาจากแดนนิพพาน

ความลับของ "อนุตตรธรรม" ถูกซ่อนเร้นไว้ในพระคัมภีร์พระสูตรต่างๆ เพื่อรอการเปิดเผยเมื่อเวลามาถึง ในพระสูตรของพุทธศาสนาบทหนึ่งได้กล่าวว่า ครั้งนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงถือดอกบัวไว้ในมือแล้วชูขึ้นตรงหน้าพระพักตร์

พระสงฆ์สาวกทั้งหลายที่มาประชุมกันต่างฉงนสงสัยเป็นอย่างมาก มีเพียงพระมหากัสสปะเท่านั้นที่รู้ถึงปริศนาซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดง ท่านจึงยิ้มออกมาเป็นการรับรู้พุทธประสงค์

พระบรมศาสดาจึงเปล่งธรรมกถาขึ้นว่า
"ตถาคตมีธรรมอันซ่อนอยู่ภายในดวงตา "นิพพาน" สถิตอยู่ในใจของทุกคน สัจจธรรมนี้ไร้รูปลักษณ์และไม่สามารถบอกกล่าวเป็นคำพูด ตถาคตได้ถ่ายทอดสัจจธรรมอันสูงสุดนี้ให้แก่พระมหากัสสปะแล้ว"
^
^
เรียกว่า ตีความคำสอนพระพุทธองค์  สนับสนุนตามความเห็นผิดของตนเต็มๆ


คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ชาวพุทธที่พากเพียรภาวนา  อาจจะบอกว่า ป.ญ.อ. ใครจะเชื่อ(แต่มีคนเชือเยอะมากนะคุณ)
เพราะเขามีหลักการ ที่ฟังแล้วน่าเชื่อ  สำหรับคนไม่รู้จักศาสนาของตนเองดีนะซิ

หลักการดังกล่าว มีการดึงเอาหลักจริยธรรม คุณธรรม อริยสัจ4 อริยมมรค8 พระบัญญัติจากศาสนาคริสต์ จากคัมภีร์อัลกุรอาน ไปผสมเป็นหลักการพื้นฐานของผู้เดินทางสายลัทธินี้
นำไปใช้แบบแนบเนียนด้วย  เนียนๆคืออะไร คือการอ้างแก่นคำสอนที่มา ว่ามาจากศาสนาไหนๆ ยกมาเลยทั้งกะบิ ของดีๆจะไปตัดทอนทำไม เพื่อคนในศาสนานั่นๆ จะได้คล้อยตามโดยง่าย ไม่ต้องเลิกนับถือศาสนาเก่า
กรอบจริยธรรมในการอยู่ในสังคมอันดีงามต่างๆ ล้วนยกมาทั้งหมด  ผู้เข้าร่วม โดยรวมจะเป็นผู้เมตตา อยู่ในศีลธรรม มีความประพฤติที่ดีขึ้น และเข้าใจว่าตนได้ไปพระนิพพานแน่ๆ...สำคัญตรงนี้แหละ  ทำแค่นี้ ได้ไปนิพพานแน่ๆ ...

ที่มีแปลกๆยิบย่อย พวกฤทธิ์ ปาฎิหารย์  ไม่มีในพระธรรมคำสอน ไม่ปรากฎในพระไตรปิฎก แต่ของเขามี  ซึ่งเราไม่ได้จำมาในรายละเอียด   ที่เล่าข้างบนเป็นแค่ตัวอย่างใจความสำคัญที่อ้างว่า ไปพระนิพพานได้เท่านั้น    ชาวพุทธในทะเบียนจำนวนมาก ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้   วันๆทำงานหาเลี้ยงตัว  ชิวิตสุกๆดิบๆ ทำทานบ้าง ศีลมีบ้าง ไม่มีบ้าง    ไม่ได้ปฎิบัติธรรม ภาวนา จมอยู่กับความไม่รู้จริง   ต้องเข้าใจว่า ลัทธินี้เป็นแก้ววิเศษ ย่อมยินดีปรีดาแน่ๆ

อะไรได้มาโดยง่ายแบบนี้  คนกลุ่มหนึ่ง และจำนวนมากที่ยังทำบารมีไม่ครบ ยังไม่ได้เจริญภาวนาสติปัญญาณ 4  ได้ความสุขระงับ จากรสพระธรรม   ย่อมหลงทางไปเชื่อโดยง่าย  ปกติเรื่องชาวบ้านไกลตัว เราคงไม่สนใจ นี่หันมาดู เฮ้ย(เรียกว่าสะดุ้งโหยง)..คนที่จะทำธุรกิจด้วย เขาก็หันไปเอาทางนี้

เพื่อนเขาก็พยายามมาชวน สังขารคนพวกนี้ ปรุงไปว่าตนเองนั้น ไม่ได้คิดไปเองว่ามันดี   แต่เป็นความสุขที่ออกมาจากใจของพวกเขาโดยแท้ เพราะคิดว่าได้เจอธรรมแท้  ได้ประพฤติทำตัวดีขึ้น ได้เมตตาต่อสรรพสัตว์(กินเจ)  จะได้พ้นจากความตายที่มาจากภัยภิบัติที่กำลังมาถึงในเร็ววันนี้

ความไม่รู้ มิจฉาทิฐิของคนพวกนี้ น่าสงสารมาก สำหรับชาวพุทธแท้ๆ
เช่น อ้างว่าคนที่ได้ฌาน ทำฌานสมาบัติได้ ยังไปรับธรรมะจากเขา
เช่น อ้างว่าพระที่บรรลุพระนิพพานได้ ยังต้องรอรับธรรมะจากเขา
เช่น ภัยพิบัติ ที่กำลังมา คนที่นับถือสายนี้ จะพ้นภัยพิบัติ ได้

สามข้อบน คงไม่ต้องบอกว่าจะแย้งอย่างไรนะ  แต่คนเวลามันจะเชื่อ ไม่มีใครไปสอบทานหรอก ว่าไอ่หน้าเหรอ ที่อ้างว่าได้สมาบัติแล้ว ยังไปรับธรรมะ หรือ ได้ฌานจริงๆ หรือ นั่งหลับ
หรือ แม้แต่ได้ฌานจริงๆแล้ว มันเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ไหม
เอ้า..คนไม่ได้ปฎิบัติ  ก็คิดว่าได้ฌาน นี่ใกล้พระพิพพาน
ตรงนี้ มันเริ่มอธิบายกันลำบาก จะบอกว่าใกล้ สำหรับคนเข้าใจ ในการพิจารณาพระไตรลักษณ์
และคงบอกว่าโค ต ระ ไกลนิพพาน สำหรับคนที่ไปติดในความสุขสงบนั้น
อธิบายแบบนี้ สำหรับคนไม่ภาวนา มันจะไปเข้าใจอะไรละฮึ!


มิจฉาทิฐิที่มีในตัวบุคคลทุกระดับ มันแก้ได้ง่ายๆเสียที่ไหน  จะเห็นสัมมาทิฐิได้ ต้องพากเพียรภาวนา ต้องปัจจตัตัง  รู้เอง เห็นเอง  แล้วจะมีสักกี่คน ที่กำลังเดินทางที่ถูกอยู่    คนหลงผิด จึงมีจำนวนมากกกว่ามากๆๆๆนัก

นี่ยังไม่รวมศาสนาอื่นๆนอกจากพุทธ  อันได้แก่ คริสต์ อิสลาม เต๋า ขงจื้อ ที่โดนอุปโลกให้เป็นกิ่งก้านสาขาของเขาไปเรียบร้อย เรียกได้ว่า กินรวบหมดจดยกวงเลยทีเดียว  โดยตั้งตนเองเป็นรากแก้ว ของเหล่าศาสนาที่มีอยู่ทั้งหลายก่อนหน้า

เขียนไปเขียนมา ชักยาว เอาว่าที่เขียนไว้เนี่ย  คนที่มาชวนเรา พูดจาก็ ไม่ได้รู้เรื่องการภาวนาหรอก แต่รู้หลักของอนุตรธรรมแม่นมากอยู่
ส่วนคนที่ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้รู้หลักการปฎิบัติธรรม  ฟังไป ก็อาจหลงคล้อยตามไปโดยง่าย ใครมีเพื่อน พี่ ญาติที่ไหนมาชักชวนไปเข้า
หวังว่ากระทู้นี้ จะช่วยให้ผ่านตา ผ่านจิตใจตนเองสักแว่บ ว่า อนุตตรธรรมนี่แหละภัยพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆด้วย  เป็นทางเห็นผิด ไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ด้วยการไปพระนิพพานได้จริง  (แต่เป็นทางที่ทำให้คุณได้ทำบุญ ทำทาน เป็นผู้เป็นคนที่ดีขึ้นในสังคมเท่านั้น)

ทางสายเอกสายเดียวที่จะพ้นทุกข์ได้ พระพุทธองค์สอนไว้ คือ การปฎิบัติธรรมภาวนา การเจริญสติปัญญฐาน4  ส้รางรากฐานจากการทำทาน ถือศีล และภาวนา
สติปัญญฐาน4  อันประกอบด้วย การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมเท่านั้น..ย้ำว่าเป็นทางสายเอก สายเดียว
-- ไม่มีทางสายอื่นๆอีกแล้ว--

ที่เหลือ การทำทาน การถือศีล การกินเจ(ใจมีความปิติในบุญที่ได้ทำ) เป็นไปเพื่อสวรรคสมบัติเท่านั้น   ไม่ใช่นิพพานสมิบัติ

การจะพ้นทุกข์ได้โดยแท้จริง  เราต้องพากเพียรทำด้วยตนเอง  ใจจะได้รู้ตื่น สว่างเบิกบานจากปัญญาญาณ จากผลของการพากเพียรภาวนา   ไม่ใช่จากปิติสุขอิ่มบุญเล็กๆน้อยๆ  หรือ ปิติจากการทำทาน  จากการมีใครมามอบธรรมะ มาแต้มหน้าให้  ท่องรหัส 5คำ ผ่านประตู  แล้วจะพ้นทุกข์ไปพระพิพานได้  ..อย่าหลงไปง่ายๆ..

คนปัญญาน้อย ศึกษาพระพุทธศานาเพื่อการพ้นทุกข์สำหรับตนเอง อย่างเรา ก็คงเตือนสติด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมสังสารวัฎกันได้เพียงเท่านี้  ถ้าทำให้ใครขัดเคืองก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

จากคุณ: น้องต๋าว  FriendFlock Bloggang
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 03:49:03
_____________________________________

เมื่อน้องต๋าวเขียนกระทู้เตือนภัยไว้ก็ได้มีเพื่อนที่เข้ามาให้ความเห็นมากมายนะครับโดยผมขอยกความเห็นบางส่วนมาให้อ่านด้วยดังนี้>>


ความคิดเห็นที่ 2
พวกลัทธิต่างๆ ที่หวังลาภสักการะ จากคนมากๆ ที่เป็นคนโง่เขลา ไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมะ  ... พวกนี้จะตั้งหลักการใหม่ๆ หรูหราพิศดาร  ใช้คำบาลีหรูๆ  เช่น  อนุตตรธรรม  ธรรมกาย  ฯลฯ หรืออื่นๆทำนองนั้น  เพื่อหวังดึงดูดล่อลวงคนโง่ให้เข้ามาติดกับดัก ...
จากคุณ: ศิษย์พระป่า
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 05:35:13


ความคิดเห็นที่ 4
หลายปีก่อน...เวลาไปทำบญถวายภัตพระตามวัด..รู้สึกว่าแค่ทำตามสิ่งควรทำ  ยังขาดอะไรไปไม่รู้  ชีวิตก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร..แต่เหมือนหาอะไร..ก็เปลี่ยนวัดทำบุญอยู่เรื่อยๆ จนมีคนแนะนำให้รู้จักอนุตรธรรม

ยอมรับครับว่าศึกษาอนุตรธรรมมา 3 ปี ( จนเป็นผู้ขานพิธี "ซั่งจิงหรี่" )  ในระหว่างนั้นก็อ่านตำราและศึกษา...จนในที่สุดก็สรุปกับตัวเองได้ว่า  สิ่งนี้ไม่ถูกกับตัวเรา..ไม่ใช่  เพราะตอบคำถามหรืออธิบายในหลายๆอย่างที่เราไม่เข้าใจไม่ได้  ส่วนคำตอบที่มีอยู่ปรากฏอยู่ในตำราก็เป็นคำตอบที่วกวนไปมา..กำกวม และมีข้อขัดแย้งกันในต่างเล่มต่างวาระ  จึงได้เริ่มถามอาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรม( เตี่ยวฉวนซือ )...ก็ไม่ได้คำตามที่โดนใจ ไม่กระจ่าง จบเพียงว่า..ปฏิบัติไปเถอะ

ช่วงเวลานั้นก็ได้พบกับเพื่อนของเพื่อน..ได้ชวนผมไปกราบพระรูปหนึ่ง..ท่านผู้ในป่า  ท่านก็เมตตาสอนกรรมฐานให้  เพียงแค่หัดนั่งสมาธิจริงๆจังๆครั้งแรกก็รู้สึกลึกๆว่า..ใช่แล้วสิ่งนี้ที่เราตามหาอยู่ ( ปกตินั่งสมาธิแล้วจะต้องหลับในเวลาไม่เกิน 15 นาที  แต่พอท่านสั่งสอนก็ประคองสติได้ตลอด..เกือบชั่วโมง )  และเมื่อกลับไปฝึกกรรมฐานกับท่านอย่างต่อเนื่องก็ได้รู้ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง..ทำให้มั่นใจเลยทีเดียวว่า..นี่แหละสิ่งที่ตามหาอยู่  ไม่ผิดแน่นอน..เป็นทางที่จะพ้นทุกข์ได้

จนปัจจุบันนี้..ไม่ได้เข้าหาอนุตรธรรมอีกเลย หากมีผู้มาชวนให้เข้าหาอนุตรธรรมอีก..เราก็จะอธิบายไปตามความรู้ความเห็นของตนในปัจจุบัน  หากเขาเหล่านั้นยังไม่วางไม่เข้าใจก็ต้องทำใจและบอกกับตัวเองว่า..เขาเหล่านั้นยังไม่ถึงเวลา  เหมือนกับวัดดังแถวคลองหลวง...เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ถึงเวลา  กรรมที่ได้ทำมา..บารมีที่สั่งสมมา...ยังไม่ถึงเวลา..ไม่ถึงเวลา

สาธุ..ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ..
จากคุณ: Cathode_tube
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 07:11:27


ความคิดเห็นที่ 7
ลัทธินี้เป็นธุรกิจส่งออกของประเทศต้นทาง คือ จีน และไต้หวัน
เขาจะพยายามส่งออกลัทธินี้ และบริหารจัดการแบบเดียวกับ พวกขายตรง  MLM ทั่ว ๆ ไป

เขาจะสนับสนุนให้ตั้ง ฝอถัง หรือสำนัก (เขาเรียกสถานธรรม)ที่บ้านเรือนของผู้คนในละแวกต่าง ๆ เพื่อให้เหมือนกับ ชุมชนที่มี ร้านสะดวกซื้อ

เงินรายได้ที่ได้จากศรัทธาแบบงมงายโง่เขลา ข่มขู่ด้วยความตาย ด้วยนรก สวรรค์ เงินรายรับของฝอถัง ต้องมีบัญชี และส่วนหนึ่งต้องส่งตรงไปยังสำนักที่เป็น "ตัวแม่" ในต่างประเทศ

เป็นธุรกิจชัดเจนมากครับ

เชื่อหรือไม่ผมไม่ว่าอะไรครับ แต่ผมบุกถึงรังตัวแม่มาแล้ว  55555
จากคุณ: รถเรณู  Bloggang
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 09:11:43


ความคิดเห็นที่ 10
ต้องบอกว่า ที่บ้านเอง ก็เคยตั้งสถานธรรมครับ ของสำนักนี้
แต่ความเคารพในธรรม ของผุ้สอนระดับ อาจารย์ ยังไม่เท่าของคุณแม่ผมเลย ยิ่งเรื่องความซื่อสัตย์ จริงใจ ละห่างชั้น ทำให้คุณแม่เริ่มถอยห่าง

เนื้อหา มองพื้น ๆ เค้าก้อสอนคนให้เปนคนดี
ทำให้ผู้คนในสังคม อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข สันติ
มองในแง่นี้ ก็ตอบคำถาม แก่สังคมได้ระดับหนึ่ง

แต่ถ้าจะเอาระดับ อภิธรรม ธรรมแห่งการหลุดพ้น คงไม่ใช่หนทางครับ ยังห่างไกลนัก
จากคุณ: นายจองชัย
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 09:31:12


ความคิดเห็นที่ 12

เข้ามาเพิ่มเติมเนื้อหาครับ  เนื่องจากจขกท.ขอมาทางหลังบ้าน ก็จัดให้ตามประสงค์
-------------------------------------------------------------------------
ผมรู้จักลัทธิอนุตตรธรรมครั้งแรก สมัยเรียนมัธยม
ตอนนั้นแม่ของผมมีตึกแถวอยู่ห้องหนึ่ง
และเผอิญ  มีคนไต้หวันมาติดต่อขอเช่าทำสถานธรรม

แม่ของผม เห็นว่าเค้าจะเช่าเป็นสถานธรรม นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในบ้านจึงให้เช่าฟรี  พร้อมกับถูกชวนให้รับธรรมะ

ผมจึงได้ไปเข้าพิธีรับธรรมะ  ก็จะมี"อาจารย์"
มาจากไต้หวัน  มาทำพิธีเปิดจุดทวารให้  ถ้าจำไม่ผิดมีห้าจุดมั้ง

แล้วเมื่อจะเสร็จพิธี  "อาจารย์" ก็จะมากระซิบข้างหูเราด้วยคำห้าคำ
แล้วบอกว่า  คำทั้งห้าคำนี้ ห้ามไปบอกใคร
เมื่อตายไปแล้ว  ให้ไปบอกคนเฝ้าประตูสวรรค์ด้วยคำทั้งห้าคำนั้น

เราก็จะได้ขึ้นสวรรค์  แต่คนที่ไม่ได้รับธรรม หรือบอกคำห้าคำไม่ได้ ก็ไปนรก

ผมก็จำคำทั้งห้านั้นมาสามสี่ปี  ด้วยความหวังว่า ตายไป พูดคำห้าคำ ก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว

เพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่าศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นยังไง  อะไรคือแก่นของพุทธ  จะไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้อย่างไร

ด้วยพิธีกรรมของเค้า ที่ดูน่าเชื่อถือ  กับความไม่รู้ของผม

ผมจึงคิดว่านี่เป็นพุทธอีกแบบหนึ่ง

ซึ่งคงดีกว่าพุทธในปัจจุบัน ที่มีทั้งแก้กรรม สะเดาะเคราะห์  พุทธพาณิชย์ ไหนจะข่าวฉาวของพระหลายรูปที่หากินในผ้าเหลืองฯลฯ

--------------------------------------------------------------------------------------
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผม  ที่ทำให้เห็นว่าอนุตตรธรรม ไม่ใช่หนทางที่ควรเดินนั้น

คือหนังสือเสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน

เมื่อผมอ่านจบ  ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นทั้งเรื่องกรรมวิบาก แก่นของพุทธศาสนา สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในชีวิต

ผมเข้าใจแล้วว่า การท่องคำห้าคำ  โดยไม่ทำกรรมดีในปัจจุบันกาลไว้เป็นเสบียงเลยไม่ช่วยให้ขึ้นสวรรค์ได้แน่นอน

และหากอนุตตรธรรมเป็นหนทางที่ดี ที่ประเสริฐจริง

เหตุใด คำทั้งห้าคำนั้น จึงห้ามนำไปบอกใคร  แม้แต่พ่อแม่หรือคนที่เรารักแต่กลับต้องชวนพวกเขาให้มารับธรรมด้วยตนเอง

เหตุใด  ธรรมะ จึงต้องเป็นเรื่องลึกลับขนาดนั้น

ธรรมะขององค์พระศาสดา ควรเป็นเรื่องเปิดเผยได้กับชนทุกหมู่เหล่ามิใช่หรือ

หนทางไปสวรรค์ เหตุใดจึงต้องถูกจำกัดไว้กับคนที่ได้รับธรรมะแล้วเท่านั้น

--------------------------------------------------------------------------------

หลังจากที่ทางสถานธรรมจากไต้หวัน หาซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานธรรมได้ก็เลิกเช่าบ้านของแม่ผม  แม่ผมก็ขายบ้านนั้น

คนของสถานธรรมก็ยังมาที่บ้านของผมอยู่เรื่อยๆแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะผมรู้แล้ว  ว่าธรรมะขององค์พระศาสดาที่สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป
ไม่น่าจะเป็นธรรมะที่ต้องปกปิดเป็นความลับเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง
ทางเอกยังมีอยู่  ไยจึงต้องไปเดินทางอ้อม ทางลึกลับ

--------------------------------------------------------------------------------
อนุตตรธรรม หากจะมีข้อดี  ก็อาจมีอยู่บ้าง
แต่ไม่ใช่วิถีทางเพื่อความหลุดพ้นแห่งทุกข์
เวลาของชีวิตมนุษย์มีจำกัด ความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอน
อย่าเสียเวลาไปกับทางที่ไม่ใช่ทางสายที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเลยครับ

ธรรมะสวัสดีครับ
แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 54 10:08:29
จากคุณ: หมูเค็มกะหมูหวาน (คุณหมูน้อยตัวขาว)
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 10:02:06


ความคิดเห็นที่ 13
เมื่อวานก่อนก็เพิ่งโดนชวนไปประชุมธรรมเหมือนกัน (เพราะผมเคยเข้าพิธีรับธรรมะมาแล้ว)
แต่...ผู้ที่พูดด้วยกับผมเค้าไม่มี "สติ" เลย
จากคุณ: msdossys
เขียนเมื่อ: 19 ม.ค. 54 10:12:25


ความคิดเห็นที่ 32
^
คุณเป็นผู้ที่นับถือ เชื่อและปฎิบัติในสายอนุตตรธรรมหรือเปล่าคะ ?

มีพี่คนหนึ่ง เพิ่งคุยกันวันก่อน เขาให้ความเห็นว่า คนที่อยู่สายอนุตตระธรรมไม่ออกมาโต้ตอบเพราะคนที่นับถือและเดินทางเส้นนี้ เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความหลงผิด ไม่รู้ในแก่นพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
เลยไม่มีข้อมูลใดๆ จะเอามาโต้ตอบ ถกเถียงด้วย..
(เราคิดตาม เออ..เห็นท่าจะจริง เพราะถ้าใครเติบโตขึ้นในทางธรรม มีความรู้ความเข้าใจในศาสนาพุทธแท้ๆมากขึ้น
ก็จะเดินออกมา ไม่ไปเป็นเหยื่อเต่าปลาต่อไป  )
จากคุณ: น้องต๋าว  FriendFlock Bloggang
เขียนเมื่อ: 21 ม.ค. 54 16:38:12


ความคิดเห็นที่ 34
ไปค้นดูในกูเกิ้ล ตามที่คุณซำเหมาแอนด์เดอะแก็งค์ ระบุในคห.#31 แล้วครับแล้วได้รูปนี้มาจากเว็บที่มีคำว่า "อนุตตรธรรรม" ด้วย
.. แถมมีสำนักพิมพ์ของตัวเองอีกต่างหาก
(ขออนุญาตไม่แปะลิงค์ที่มานะครับ ไม่ต้องการมีส่วนช่วยเผยแพร่ลัทธินี้ครับ)

จากรูปคงจะเห็นแล้วว่า ถ้ามี "พระเจ้า ผู้สร้าง"
... ก็คงไม่เรียกว่าพุทธศาสนาแล้วครับ

ซึ่งตามหลักแล้วคงไม่ห้ามหากจะเผยแพร่
.. แต่โปรดอย่าอ้างว่าเป็นพุทธครับ
เพราะแม้แต่พุทธศาสนานิกายมหายาน ก็ไม่ได้มีเรื่องราวในแบบนี้ครับ
แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 54 20:45:44
จากคุณ: He-Who-Must-Not-Be-Named
เขียนเมื่อ: 21 ม.ค. 54 20:44:33


ความคิดเห็นที่ 35
......ไม่คิดว่าจะมีคนคิดเหมือนผมเรื่อง "อนุตตรธรรรม"
เนื่องจากเคยเข้าไปสัมผัสมาแล้ว และรู้สึกตัว ด้วยตัว ของตัวเอง
ท้ายสุดก็ตีตัวออกห่างออกมา เนื่องจากคิดแล้วว่าไม่ใช่หนทางไปนิพพานแน่นอน
แต่ที่ "อนุตตรธรรรม" ก็สอนและชักชวนให้คนทำความดีในระดับหนึ่ง(อันนี้ผมไม่เถียง)
แต่อาจจะเห็นแก่ตัวไปนิดหนึ่งเรื่องการเข้าสู่ประตูนิพพานที่จำกัดไว้แค่คนที่เข้ารับธรรมมะกับทางสถานธรรมแล้วเท่านั้น

รหัสลับ(กุญแจ) เข้าสู่นิพพาน " X X X X X "
ถ้าหากว่า 5 คำนี้เป็น กุญแจไขเข้าสู่ประตูนิพพานจริงก็อยากจะบอกทุกคนให้รู้จะไปได้ไปด้วยกันเยอะๆ โลกมนุษย์จะได้ไม่แออัด เพราะมันมีแต่ทุกข์การที่เราบอกให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ น่าจะได้กุศลมากกว่าเก็บเอาไว้ใช้คนเดียวนะจ๊ะ

ข้อสังเกตุ(คัดลอกมาจากเว็บพลังจิต)
เคยคิดมั้ยว่าทำไม พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัพพัญญู ล่วงรู้ทุกสิ่ง เหตุใดไม่เคยสอนว่าสาธุชนจงรับวิถีอนุตรธรรมเถิด จะได้บรรุลพระอรหันต์ (พระธรรมทรงสอนไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นความลับ หากแต่ทรงเผยแพร่ไปเป็นสาธารณะเพื่อสงเคราะห์แก่สรรพสัตว์ แต่อนุตรธรรมบอกว่าบอกใครไม่ได้ต้องมารับด้วยตนเองเท่านั้น พุทธศาสนาสอนให้คนใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุและผล แต่อนุตรธรรมสอนให้คนเชื่อมั่นและศรัทธาคำสอนที่มาจากการเข้าทรงบนกระบะทราย โดยเอาความเชื่อศาสนาของพระศรีอารย์มาเป็นจุดประชาสัมพันธ์)
เคยสังเกตุมั้ย ว่าทำไมพระอริยเจ้าที่ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย มีมากมายที่เป็นพระอรหันต์ ไม่เคยมีองค์ไหนสอนว่าจงไปจี้จุดญาณทวารที่หน้าผากเถิด จะบรรลุนิพพาน (แค่เอานิ้วชี้จิ้มที่กลางหน้าผากพร้อมท่องรหัส 5 คำ ถ้าง่ายขนาดนี้จะบำเพ็ญบารมีมาเพื่อประโยชน์อะไร )  เคยได้ยินมั้ย ที่ในคำสอนในพุทธศาสนาบอกว่า คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น (ท่านไม่เคยสอนว่า มารับวิถีอนุตรธรรมซิ จะได้ฉุดช่วยบรรพชน 7 ชั่วโครตจากในนรกได้)

*****มีสมาชิกขอมาหลังไมค์ ให้แก้ไข รหัสลับ(กุญแจ) เข้าสู่นิพพาน

จากคุณ: Stive Joke
เขียนเมื่อ: 22 ม.ค. 54 12:36:02


ความคิดเห็นที่ 39
ขอเตือนท่านที่มีญาติๆ นับถือลัทธินี้นะคะ วันนึงท่านอาจจะเสียใจเหมือนครอบครัวคุณน้าเราก็ได้ ลูกสาวน้าซึ่งก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรานั่นแหละ  เค้าไปเข้าลัทธินี้ แรกๆ ก็ไปฟังธรรมปกติ หลังๆ เริ่มไปช่วยงานกิจกรรมในลัทธิเป็นกิจวัตร พยายามชักชวนให้คนที่บ้านกินเจ ซึ่งคนที่บ้านก็เฉยๆ จนเค้ารู้สึกว่าครอบครัวเป็นมาร (ตามคำสอนของลัทธิ) คอยขัดขวางไม่ให้ขึ้นสวรรค์  ขนาดคุณแม่เค้าป่วยอยู่ก็ไม่สนใจดูแล บอกว่าจะต้องไปสร้างบุญ ซึ่งถ้าสร้างบุญไว้เยอะๆ ผลบุญก็จะส่งผลให้คุณแม่หายป่วยเอง แล้วพี่สาวเค้าจะเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์มาก เช่น มีคนอยู่ในเหตุการณ์เครื่องบินจะตก แล้วท่องคำ 5 คำ ก็สามารถรอดพ้นจากความตายได้ (มาจากการไปฟังบรรยายธรรมมามากๆ) พวกอาจารย์ในลัทธินี้เค้าจะมีจิตวิทยาในการพูดให้คนหลงเชื่อ ซึ่งมีอยู่ครั้งนึงพี่สาวเราแค่ถูกรถสาวล้อเฉี่ยว แล้วไม่เป็นไร อาจารย์เค้าจะสอนว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิช่วยไว้ พี่เราเลยยิ่งนับถือเข้าไปใหญ่  หลังๆ มีการโดดงานที่บริษัทเพื่อไปช่วยงานที่สำนักธรรม เงินเก็บที่มีก็เอาไปฝากไว้กับอาจารย์ที่สำนักหมด  เพราะเค้าสอนว่าโลกจะเกิดวิกฤติ แบงค์จะเจ๊ง ให้เอามาฝากไว้กับที่สำนักดีกว่า โดยจะมีการลงบัญชีไว้ว่าใครฝากไว้เท่าไร

จนวันนึงพี่สาวคนนี้ก็หายตัวจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย งานการที่บริษัทก็ละทิ้งไปเฉยๆ จนทุกวันนี้ยังไม่ได้ข่าวคราว พ่อแม่เค้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นปีๆ จนผ่ายผอม ได้แต่ออกตามหาตามสถานธรรมต่างๆ แจ้งคนหายตามรายการทีวี ไปถามคนทรงว่าทุกวันนี้ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ครอบครัวเรายังพลอยเศร้าไปด้วยเลย

ฝากไว้ให้ระวังแล้วกันนะคะ อย่านึกว่าเราเข้าไปฟังแล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ยังมีคนอีกหลายๆ คนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อได้ หากค่อยๆ ซึมซับเอาคำสอนผิดๆ มาแล้วจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่ตามมา ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน อนาคตตัวเองดับสูญ
จากคุณ: อาม่อน
เขียนเมื่อ: 25 ม.ค. 54 12:06:23


__________________________________________


ที่มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น