"ตำนานดาวประกายพฤกษ์"
ถอดความจากภาพบน
_____________________________________________.................
^^จากโอวาทปลอมด้านบน^^
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เรียกว่า ดงคสิริ)
ถ้ำดงคสิริ เป็นถ้ำหินแข็ง ปัจจุบันถ้าหากใครได้ไปเที่ยวแสวงบุญที่นั่นก็จะได้เห็นถ้ำหินแข๊งขนาด ๙ ตารางเมตร(คงเป็นขนาดเดียวกันกับสมัยที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเพียร) ต้องเดินขึ้นเชิงเขาดงคสิริขึ้นไปทั้งยังเป็นหน้าผาชันตัดตรงลงมา มีช่องประตูพอให้คนเข้าไปได้ เพราะเหตุที่ถ้ำนี้เป็นถ้ำจากผนังเขา ไม่ใช่ถ้ำที่อยู่ติดดิน พอนานปีก็มักมีดินพอกพูนจนพื้นถ้ำตื้นเขินทำให้ถ้ำมีขนาดเล็กลง
“ดงคสิริ” หรือตุงคสิริ หรือทุกรกิริยาบรรพต สถานที่บำเพ็ญทุกรกิริยาของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งอยู่ห่างจากพระมหาเจดีย์พุทธคยาหรือพระมหาโพธิเจดีย์ ไปประมาณ ๑๖ กิโลเมตร อยู่ระหว่างหลักไมล์ที่ ๔ จากเมืองคยา ต้องข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปไกลพอสมควร ปัจจุบันอยู่ในตำบลพุทธคยา อำเภอคยา จังหวัดคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
ภาพบน^^“ดงคสิริ” หรือ ตุงคสิริ สถานที่บำเพ็ญทุกรกิริยาของเจ้าชายสิทธัตถะ
ภาพบน^^พระพุทธรูปพระโพธิสัตว์ ปางบำเพ็ญทุกรกิริยา
ประทับนั่งขัดสมาธิ ในถ้ำดงคสิริ
ประเด็นต่อมาวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อท่านได้กล่าวตั้งสัตยาธิษฐานในพระทัยว่า "ถ้ายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด แม้พระโลหิตและพระมังสะจะเหือดแห้งไป จะเหลือแต่พระตจะ(หนัง) พระนหาลุ(เอ็น) และพระอัฏฐิ (กระดูก) ก็ตามที จะไม่เลิกละความเพียร โดยเสด็จลุกไปจากที่นี้" หลังจากนั้นท่านก็ได้บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองในคืนวันนั้นเลยครับ
แต่พระพุทธเจ้าปลอมที่มาเข้าทรงกลับบอกว่า 7 วันให้หลัง
ก็ไม่รู้ว่านั่นมันตำราผีบอกที่ใหนกันแน่นะ
...คือคิดว่าพระพุทธเจ้าปลอมของลัทธินี้คงเตรียมตัวมาไม่ดีน่ะครับเพราะไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาเลยแม้แต่แค่พุทธประวัติที่สอนกันตั้งแต่เด็กประถมยังมั่วได้ขนาดนี้น่าอายเด็กมาก ๆ
ซึ่งข้อนี้ถือว่าขัดแย้งกับพุทธศาสนาและเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรงเพราะ
1-ศาสนาพุทธเป็น อเทวนิยม คือไม่เชื่อและไม่เคยสอนเรื่องพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดถึงพระเจ้าในที่ใดเลยครับเพราะฉะนั้น พระแม่อนุตตรธรรมมารดา จึงไม่เคยมีในสารบบของพุทธศาสนาไม่ว่ายุคใดหรือนิกายใดก็ตาม
2-พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองไม่มีใครที่จะมาเป็นครูอาจารย์ทั้งสิ้นสมดังที่ปรากฏให้บทพุทธคุณ9ดังนี้
**อรหํ (เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น — holy; worthy; accomplished)
**สมฺมาสมฺพุทฺโธ (เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง — fully self-enlightened)
**วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ — perfect in knowledge and conduct)
**สุคโต (เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา — well-gone; well-farer; sublime)
**โลกวิทู (เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้ — knower of the worlds)
**วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ — perfect in knowledge and conduct)
**สุคโต (เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา — well-gone; well-farer; sublime)
**โลกวิทู (เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้ — knower of the worlds)
**อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ (เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า — the incomparable leader of men to be tamed)
**สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย — the teacher of gods and men)
**พุทฺโธ (เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใดๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย — awakened)
**ภควา (ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม — blessed; analyst)
**พุทฺโธ (เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใดๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย — awakened)
**ภควา (ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม — blessed; analyst)
อ้างอิง >> พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
3-การที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับจุดกลางคิ้วแต่เป็นเพราะการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญานอันทราบความจริงตามหลักอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์,สมุทัย,นิโรธ,มรรค
ดังลำดับมีดังนี้
ดังลำดับมีดังนี้
ต่อนั้น ก็ทรงเจริญฌาน อันเป็นองค์ปัญญาชั้นสูงทั้ง 3 ประการ ยังองค์พระโพธิญาณให้เกิดขึ้นเป็นลำดับ ตามระยะกาลแห่งยามสามอันเป็นส่วนราตรีนั้น คือ
ในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดมาแล้วทั้งสิ้นได้
ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ บางแห่งเรียกว่า ทิพพจักษุ สามารถหยั่งรู้การเกิดการตาย ตลอดจนการเวียนว่ายของสัตว์ทั้งหลายอื่นได้หมด
ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงปรีชาสามารถทำอาสวะกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไปด้วยพระปัญญา พิจารณาในปัจจยาการแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ก็ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลาปัจจุบันสมัย รุ่งอรุโณทัย ทรงเบิกบานพระหฤทัยอย่างสูงสุดในการตรัสรู้ อย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อนตลอดกาล ถึงกับทรงอุทาน เย้ยตัณหา อันเป็นตัวการณ์ก่อให้เกิดสังสารวัฏฏทุกข์แก่พระองค์แต่เอนกชาติได้ว่า "อเนกชาติ สํสารํ เป็นอาทิ ความว่า นับแต่ตถาคตท่องเทียว สืบเสาะหาตัวนายช่างผู้กระทำเรือน คือ ตัวตัณหา ตลอดชาติสงสารจะนับประมาณมิได้ ก็มิได้พบพาน ดูกรตัณหา นายช่างเรือน บัดนี้ ตถาคตพบท่านแล้ว แต่นี้สืบไป ท่านจะทำเรือนให้ตถาคตอีกไม่ได้แล้ว กลอนเรือน เราก็รื้อออกเสียแล้ว ช่อฟ้า เราก็ทำลายเสียแล้ว จิตของเราปราศจากสังขาร เครื่องปรุงแต่งให้เกิดในภพอื่นเสียแล้ว ได้ถึงความดับสูญสิ้นไปแห่งตัณหา อันหาส่วนเหลือมิได้โดยแท้"
ขณะนั้น อัศจรรย์ก็บังเกิดมี พื้นมหาปฐพีอันกว้างใหญ่ก็หวั่นไหว พฤษาชาติทั้งหลายก็ผลิตดอกออกช่องามตระการตา เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าก็แซ่สร้องสาธุการ โปรยปรายบุบผามาลัยทำการสักการบูชา เปล่งวาจาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ด้วยปีติยินดี เป็นอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีในกาลก่อน
4-จากเหตุการณ์เข้าทรงพระพุทธเจ้าปลอมนี้มีการกล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นบนโลกถึง 2 พระองค์ในคราวเดียวกันซึ่งในความจริงเป็นไปไม่ได้และขัดแย้งกับศาสนาพุทธชัดเจนครับ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าในโลกธาตุหนึ่งมีพระพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นจะไม่มีทางอุบัติขึ้นมาพร้อมกันสองพระองค์เด็ดขาดดังพระวจนะแห่งพระพุทธเจ้าดังนี้
"อานนท์! ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะนั้น ย่อมรู้ว่า ข้อนี้มิใช่ฐานะ ข้อนี้มิใช่โอกาสที่จะมี คือข้อที่ในโลกธาตุอันเดียว จะมีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ สององค์ เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อน ไม่หลังกัน.นั่นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ส่วนฐานะ อันมีได้นั้น คือใน โลกธาตุอันเดียว มีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะองค์เดียว เกิดขึ้น. นั่นเป็นฐานะที่จะมีได้."
บาลี พหุธาตุกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕.
5-พระพุทธเจ้าไม่เคยกราบใหว้ใครทั้งสิ้นแล้วจะให้มากราบใหว้พระแม่อนุตตรธรรมมารดา นั่นเป็นไปไม่ได้
6-พระพุทธศาสนาไม่เคยมีเรื่องการเข้าทรง พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอนให้เข้าทรงซ้ำยังตำหนิว่าผิดศีลและเป็นเดรัจฉานวิชชาที่ไม่ควรข้องแวะ
7-เรื่องนี้มีการพาดพิงไปถึงพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ที่ยังข้องแวะลงมาบนโลกมนุษย์จึงทำให้ดูเหมือนว่า นิพพาน สำหรับลัทธินี้คงจะไม่เหมือน นิพพาน ในพุทธศาสนาเพราะนิพพานที่ลัทธินี้สร้างขึ้นมาคงจะเทียวไปเทียวมาได้ยิ่งกว่าตลาดสดก็เลยต้องวิ่งกลับไปกลับมาแบบนั้น เพราะฉะนั้นนิพพานตามจินตนาการของลัทธินี้ก็คงจะเป็นแค่ดินแดนที่ใหนสักแห่งเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้าและตั้งใจบิดเบือนพระศาสนาโดยตรง ตกลงกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ตกเป็นสาวกของลัทธินี้ทั้งนั้นแถมยังต้องมาเปิดจุดกลางคิ้วกับพระแม่ของลัทธิอีกด้วย เอิ่ม...คนแต่งเรื่องนี้รวมทั้งขบวนการผลิตทั้งหมดช่างไม่กลัวนรกกันบ้างหรือไรจึงได้แอบอ้างเอาพระพุทธเจ้ามาหากินกับศรัทธาประชาชนเช่นนี้
ลัทธินี้ได้แบ่งโลกเป็น 3 ยุคและมีพระพุทธเจ้าเพียง 3 พระองค์เท่านั้นคือ
ซึ่งก็จะตรงกับที่ลัทธินี้เคยแต่งเรื่องโกหกเรื่องน์พงศาธรรมจอมปลอมปลอมของลัทธิขึ้นใหม่โดยโกหกว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า นั้นต้องรับโองการสวรรค์จาก อนุตตรธรรมมารดา เพื่อถ่ายทอดวิถีธรรมเจิมดั้งหัก ๆ แบบของลัทธิให้กับพระพุธทเจ้าองค์ต่อมา..หากไม่ได้รับธรรมมะเจิมดั้งหัก ๆ จากลัทธิแบบนี้แล้วพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เองไม่ได้ !!! หลังจากรับธรรมมะจากลัทธิแล้วก็ต้องรับโองการสวรรค์เพื่อประกาศศาสนาต่อไปอีก !!! ซึ่งพงศาธรรมปลอมของลัทธิหลังจากนั้นก็คือการลากพระเถระสำคัญเกือบทุกรูปไปเป็นสาวกและโยงไปสู่คนในลัทธิจนได้
ขอบคุณภาพและข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น