วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

สามยุคลวงโลกของลัทธิอนุตตรธรรม

ภาพบน^^บทความของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง ยุคสามปลายกัป http://www.vithi.com/menu04-03-03-03.html


เรื่องสามยุค ลวงโลกจากลัทธิอนุตรธรรม
(พร้อมคณิตศาสตร์วิถีแนวพระแม่องค์ธรรม)







ถอดความจากภาพบน
นับตั้งแต่เบิกฟ้าเกิดดิน จวบจนฟ้าสิ้นดินสลาย ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เราเรียกว่า "หนึ่งอุบัติกาล" ของฟ้าดิน หนึ่งอุบัติกาล มี "สิบสองบรรจบกาล" หรืออาจจะใช้ "สิบสองราศี" มาเป็นสัญลักษณ์ หนึ่งบรรจบกาล เป็นระยะเวลา 10800 ปี

ฉะนั้น ในหนึ่งอุบัติกาลเป็นระยะเวลารวมทั้งสิ้น
129600 ปี (10800 x 12) เรียกว่า "หนึ่งกาลเกิดดับของฟ้าดิน"


หมายเหตุ >>บางทีลัทธิมันก็เอาคำว่ากัปมาใช้แบบมั่วๆ นั่นเอง ทุกท่านลองไปดูเวลาการเกิดขึ้นจนดับไปของโลกธาตุที่เรียกว่า กัปล์ตามพุทธศาสนาก็ไม่ตรงตามที่ลัทธิไว้

เนื่องจาก แต่ละบรรจบกาลมีบรรยากาศที่แปรปรวนแตกต่างกันออกไป เกณฑ์กำหนดของภัยพิบัติตามวาระสมัยจึงไม่เหมือนกัน กาลปัจจุบันได้ดำเนินมาจนสิ้นวาระ "มะเมีย" (อู่ฮุ่ย) เริ่มเข้าสู่ช่วงวาระ "มะแม" (เว่ยฮุ่ย) หากจะนับตั้งแต่เบิกดิถีมีฟ้าดิน ก็รวมเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น "หกหมื่นกว่าปี"
และสามารถแบ่งออกเป็น "สามวาระ" หรือ "ธรรมกาล 3 ยุค" ด้วยกัน

ยุคแรก "ธรรมกาลยุคเขียว"
ในสมัยอริยเจ้า "ฝูซี"
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นชื่อว่า "อุทกภัยนาคราช" (หรงฮั้นสุ่ยเจี๋ย) จำนวนภัยพิบัติหลักๆ มีเพียง 9 ครั้ง
อริยกษัตริย์รับหน้าที่กล่อมเกลาไพร่ฟ้าแทนเบื้องบน

มี "พระทีปังกรพุทธเจ้า เป็นผู้ปกครองธรรมกาล"
วิถีธรรมในสมัยนั้นลงโปรดสู่กษัตริย์ขุนนางฉุดช่วยดวงธรรมญาณกลับคืนเบื้องบน 200 ล้านดวง
พร้อมทั้งกำหนดมรรคผลในการ "ประชุมปทุมทิพย์" (เหลียนฉือฮุ่ย) 


หมายเหตุ>>หรือแปลไทยว่าปทุมถันองค์ธรรมมาตา ? 
แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้ามีผู้นิพพาน 200ล้าน เพราะไม่เคยมีบันทึกมาก่อนในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา แถมยังมีการกำหนดมรรคผลให้กันได้ เออ...ก็เพิ่งจะรู้ว่ามรรคผลนิพพานนี่ต้องมีคนกำหนดให้  ส่วนภัยพิบัติก็ไม่ทราบเอาสถิติมาจากใหนว่า 9 ครั้ง เรื่องนี้ไม่ทราบจะถามไปยังกรมใหนดี ??? 

ยุคที่สอง "ธรรมกาลยุคแดง"
ในสมัยอริยกษัตริย์ "เหวินหวัง"
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นชื่อว่า "อัคคีภัยชาตดอรุณ" (ชื่อหมิงหั่วเจี๋ย) จำนวนภัยพิบัติหลักๆ ที่เกิดขึ้นมี 18 ครั้ง (9+9)

"พระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นผู้ปกครองธรรมกาล"
วิถีธรรมลงโปรดสู่สมณะและปราชญ์ เช่นเดียวกันสามารถฉุดช่วยดวงธรรมญาณกลับคืนไป 200 ล้านดวง โดยกำหนดอริยะฐานะในการ "ประชุมที่เขาคิชกูฏ" (หลินซัยฮุ่ย)


หมายเหตุ>>ในประวัติพระพุทธศาสนามีหน้าไหนลงเรื่องเขาคิชฌกูฏจัดงานเลี้ยงบ้างล่ะนี่ ??? แถมมีการกำหนดฐานนะตำแหน่งอริยะให้กันอีกด้วย??

ยุคที่สาม "ธรรมกาลยุคขาว"
สนองเกณฑ์วาระระหว่างบรรจบกาลมะเมียและมะแม
ภัยพิบัติใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในวาระนี้มีชื่อว่า "วาตภัยเวหา" (กังฟงเจี๋ย) จิตใจมนุษย์เสื่อมทรามถึงขีดสุดจึงก่อให้เกิดภัยทั้ง 3 และความวิบัติทั้ง 8 ลงมาพร้อมกันภัยพิบัติทวีคูณเป็น 81 มหันตภัย (9 x 9) อย่างที่เรียกว่า "ยุคสามปลายกัป"


หมายเหตุ>>มันเน้นเรื่องภัยพิบัติมากๆ เลย ส่วนการคำนวนก็คูณ 9 ไปเรื่อย ๆ คาดว่ายุคต่อไปจำนวนภัยพิบัติน่าจะเป็น 9 ยกกำลังสอง หรือ 81x9  หรือ 9x9x9 อะไรทำนองนั้น ส่วนยุคต่อไปจะแทนด้วยสีอะไรก็ยังไม่ทราบได้แต่คงจะไล่ไปจนครบ 12 สีปีโป้

ปัจจุบันวิถีธรรมลงโปรดสู่ครัวเรือน
มี "พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นผู้ปกครองธรรมกาล"
มีพระพุทธจี้กง และ พระโพธิสัตว์จันทรปัญญาเป็นตัวแทนในการสนองรับพระโองการฟ้าถ่ายทอดวิถีธรรม ปกโปรดอย่างกว้างขวาง


หมายเหตุ>>พุทธจี้กงและโพธิสัตว์จันทรปัญญาที่ลัทธินี้กล่าวถึงก็คือ จางเทียนหยาน กับซุนซู่จินนั่นแล สองตัวร้าย !!


ทุกวาระสมัยจะมีธรรมะกับภัยพิบัติลงมาพร้อมกัน


หมายเหตุ>>ด้วยมหาอำมหิตตาธิคุณแห่งองค์ธรรมมารดา

ธรรมะลงโปรดเพื่อฉุดช่วยสาธุชนคนบุญ ส่วนภัยพิบัติลงมาก็เพื่อกวาดล้างคนชั่ว
การกระทำของมนุษย์ก่อให้เกิดภัยพิบัติ
ฉะนั้น ธรรมะลงโปรดเพราะเนื่องจากมีภัยพิบัติ
หากวิถีธรรมเจริญเฟื่องฟู มหันตภัยก็จะลดน้อยลง


หมายเหตุ>>ที่จริงภัยธรรมชาติอะไรไม่มีลด มันมีปกติในโลก แค่ยุคปัจจุบันข่าวสารมันแพร่กันไปได้ทั่วโลกภัยเลยดูเยอะ !! แต่ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเท่าไรก็เป็นเรื่องปกติของโลกอยู่ดี และเพราะลัทธินี้ต้องแผ่ไปได้มากๆ ผู้นำจะได้เสวยสุข มีภัยก็จะได้มีทุนหนีไปหลบอีกที่ สาวกจนๆ ก็โดนภัยพิบัติตายคาสถานธรรมไปเลย ผู้นำก็ไปหาคนมาเข้าลัทธิใหม่....

จึงเห็นได้ว่าการกล่อมเกลาคนให้เข้าสู่กระแสธรรมก็เป็นการช่วยกอบกู้ภัยพิบัติได้เช่นกัน


หมายเหตุ >>มันจะให้เอาเรื่องพวกนี้ไปกล่อมเกลา เป่าหู ล้างสมอง คนทั่วๆ ไป...ช่างเลวทรามมากๆ สรุปก็จะโยงไปว่าพาคนมารับธรรมมะกับลัทธิจะช่วยลดภัยพิบัติได้  เวลาที่ลัทธินี้ทำนายเรื่องโลกแตกแล้วมันทำนายผิดก็ใช้เหตุผลนี้ด้วยเช่นกัน

ธรรมญาณเดิมของพระอนุตตรธรรมเจ้าเบื้องบนได้แบ่งพระภาคลงมายังโลกมนุษย์ 96 ร้อยล้านดวง
ในธรรมกาลยุคเขียวและธรรมกาลยุคแดงสองยุคนี้ได้ฉุดช่วยดวงธรรมญาณรวม 4 ร้อยล้านดวงกลับคืนสู่อนุตตรภูมิ  ยังเหลือพุทธบุตรคนเดิมอีก 92 ร้อยล้าน

เพราะฉะนั้น ในยุคสามปลายกัปนี้ต้องฉุดช่วย "เศษธรรมญาณ" อีก 92 ร้อยล้านดวง


หมายเหตุ>>นี่มันบ้าบออะไรกันนี่ !! ตกลงนี่คือสถิติใหม่ของลัทธิประชากรของเหล่าดวงจิตในโลกนี้คือ 96 ร้อยล้านดวง ?? แต่ถ้าดูจากสถิติประชากรมนุษย์โลกปัจจุบันก็มี 7พันกว่าล้านคนเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่รวมพวก สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายทั้ง หมา แมว นก แมลงตัวเล็ก ๆ เหลือบไร ทั้งหลาย และก็ยังไม่รวมภพภูมิอื่น ๆ ที่มองไม่เห็น ทั้ง ผี สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เท่วดา พรหม เหล่านี้ จึงนับว่าตัวเลขของลัทธินี้จึงขัดแย้งกับทุกภาคส่วนและขัดแย้งกับพุทธศาสนาแน่นอน

เนื่องด้วยเหตุนี้ พระอนุตตรธรรมมารดาจึงได้เบิกเมตตาประทานธรรมแท้ลงมา เพื่อปกโปรดไตรภูมิอย่างกว้างขวาง ประกาศพุทธธรรมอย่างยิ่งใหญ่

แต่ทว่าในกาลนี้จิตใจมนุษย์ได้ขาดธรรมะอย่างสิ้นเชิง
มวลพุทธบุตรได้เกิดๆ ตายๆ อาลัยอาวรณ์อยู่กับมายาภาพแห่งโลกโลกีย์ หลงลืมธรรมญาณเดิมแห่งตน เมื่อไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน แล้วใยจะรู้จักหาหนทางกลับสู่ที่เดิมได้ จึงทำให้ยิ่งหลงก็ยิ่งลึก จิตใจไม่ประเสริฐงดงามเฉกเช่นครั้งจำเนียรกาล

หมายเหตุ >>มันจะบอกว่าลัทธิของมัน เป็นของจริง จริงๆ นะจ๊ะ ...แล้วคนที่หลงเข้าลัทธิมันไปได้ มันก็เห็นว่าเป็นคนดี ที่เคยโง่ ที่เคยเลวทราม จิตใจต่ำช้าสกปรก พอเข้าลัทธิมันไปแล้วจึงฉลาด เป็นคนดี มีคุณธรรม ...ตามความเป็นจริง ต้องเรียกว่าคนโง่ ที่โง่งมงายมากกว่าเดิม แล้วหลอกตัวเองเก่งขึ้น !!!


ภายใต้แบบแผนของโลกในปัจจุบัน ผู้คนไม่กล่าวถึงคุณธรรม ข่าวการฆ่าฟันกันในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันเห็นกันจนเป็นธรรมดา ละเมิดประเวณี ขาดจริยธรรม ซ้ำยังไม่รู้จักละอาย ไร้ความกตัญญู ขาดมโนธรรม และยังไม่รู้จักสำนึก เธอยื้อฉันแย่งทำให้สังคมมืดมิด จิตใจมนุษย์เหี้ยมโหด ลุ่มหลงจนเกินควร ทำให้สภาพการที่เลวร้ายนี้ได้มาถึงขีดสุด


หมายเหตุ >>มันกำลังพร่ำเพ้อพรรณนา สรรหาเรื่องจูงใจ คนที่หลงคล้อยตามมันก็หวั่นไหว อ่อนไหวปวกเปียก ต้องวิ่งเร่เข้าสถานธรรมไปยึดถือเกาะเกี่ยวไว้ด้วยความมุ่งหวัง...น่าเวทนา

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมหันตภัยร้ายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต อย่างที่เราเรียกว่า "ยุคสามปลายกัป"

หมายเหตุ >>มันต้องขายภัยพิบัติ ให้พวกคนขี้กลัวตาย กลัวสูญ กลัวหาย กลัวไม่ได้เสวยสุข มุ่งเข้าหาลัทธิมันทุกกรณี เพราะมันเอาความเที่ยงแท้ถาวร เอาความสุข เอาความหวัง เอายศฐาบรรดาศักดิ์ เอาอะไรต่อมิอะไรมาแอบอ้างชวนเชื่อรองรับบุคคลเหล่านี้ไว้เรียบร้อย พอถูกล้างสมองไปแล้วก็ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ คนพวกนี้ น่าสงสาร น่าเวทนา และมีไม่น้อย เข้าขั้นน่าสมเพชเลยทีเดียว นะจ๊ะ !!


ท่ามกลางวาระยุคสาม ในขณะที่มหันตภัยได้เกิดขึ้นในธรรมกาลยุคขาวนี้ วิถีธรรมได้ลงโปรดสู่สามัญชน การที่จะฉุดช่วย "คนเดิม" จำนวนมากนี้หาใช่เรื่องง่าย

ฉะนั้น ฟ้าเบื้องบนจึงได้เมตตากรุณา ทรงมีพระบัญชาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธอริยเจ้าที่เคยสำเร็จธรรมกลับไปในธรรมกาลยุคเขียวและธรรมกาลยุคแดงกว่าสี่ร้อยล้านพุทธบุตร ลงมายังโลกมนุษย์


หมายเหตุ >>เอากับมันเลยจ๊ะ ไปนิพพานแล้วขนกันกลับลงมา ทุกๆ แสนกว่าปีเทียวเกิดเทียวทุกข์ นี่มันของแหกตาชัดๆ เลยนะจ๊ะ !!

อาศัย "ครรภ์มารดาเกิดกายา" กระจายไปยังเก้าทวีป 


หมายเหตุ>> เอะ...โลกเรามีตั้ง 9 ทวีปเลยเหรอ ?? 

เพื่อบำเพ็ญธรรมแท้ กล่อมเกลาจิตญาณ ช่วยงานฟ้าปฏิบัติงามธรรม ประกาศแพร่ธรรมแทนเบื้องบน เพื่อปกโปรดฉุดช่วยมวลเวไนย ไม่ว่าจะเป็นเช้าสายบ่ายค่ำ ทุ่มเทเสียสละทั้งแรงทรัพย์และแรงกาย

หมายเหตุ >>ที่จริงมันก็คือแนวทางการหลอกใช้ ใครทำตามที่มันว่า ทุ่มเทเพื่อลัทธิ มันก็ยกยอกันเองว่าเป็นอะไรต่อมิอะไรลงมาเกิด ...ทำไปก็เอาหน้าไป น่าทุเรศ+สมเพช ไม่น้อยเลย....

โดยมีเป้าหมายเพื่อ "เก็บงานสมบูรณ์" ให้ทุกคนได้ "มรรคพูนผลพร้อม" รอวาระสมบูรณ์ที่จะได้กำหนดอาริยฐานะ เพื่อผู้บำเพ็ญจะได้เสวยทั้งบุญและบารมีนั่นเอง !

หมายเหตุ >>นี่ไง มาแล้ว หวังฐานะ หวังยศฐาบรรดาศักดิ์ รอเสวยบุญ หวังบุญติดบุญ เชื่อเขาเป่าหู ทำเพื่อตัวเองนั่นแหละ พวกนี้มีแต่ "ตัณหา" นะจ๊ะ แล้วนิพพานบ้านเก่าพวกมันจะไม่เรียกว่า "นิพพานมาร" จะให้เรียกได้ว่าอย่างไร เละเทะขนาดนี้นะจ๊ะ !!

ด้วยเหตุนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธอริยเจ้าจึงกล่าวว่า : "งานธรรมในธรรมกาลยุคขาวครั้งนี้ สะเทือนฟ้าสะเทือนปฐพี ไม่ว่าจะเป็นเทพ เซียน หรือพุทธะที่อวตารภาคมายังโลกมนุษย์ ล้วนมีโอกาสที่จะสร้างคุณงามความดีในยุคสามนี้อีกครั้ง เพื่อเป็นฐานในการกำหนดมรรคผล ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปฏิบัติงานเพื่อธรรมะ ล้วนได้รับประทานฐานบัวอาสน์ (!!)


หมายเหตุ>> อ้อ..ตกลงพระแม่มีของขวัญรอไว้บนนิพพานเป็นฐานดอกบัววิเศษนะจ๊ะ

โดยไม่แบ่งแยกว่าเธอจะเคยเป็นเซียน พุทธะ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอดีตชาติมาเกิด และไม่แบ่งแยกว่าเธอจะเคยเป็นมนุษย์ ผี หรือเดรัจฉานก็ตาม ... หากในยุคสามนี้ใครสามารถสร้างบุญจริงกุศลแท้ ล้วนสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธอริยเจ้ากลับคืนสู่อนุตตรภูมิได้ด้วยกันทั้งนั้น ! "


หมายเหตุ >> เห้อ ยิ่งอ่านยิ่งสมเพช โฆษณาชวนเชื่อลัทธิ มีอะไรก็ยกลงปัจจุบันที่ลัทธินี้เข้ามาแอบอ้าง ให้คนมันมีกิเลสตัณหา จะเอาบัว จะร่วมงานเลี้ยง จะไปเสวยสุข จะไปนิพพานบ้านแม่องค์ธรรม บุญบารมีอะไรต้องทำตามลัทธิสอน ...หลอกตัวเอง หลอกผู้อื่น กืเลสตัณหาเหลือล้น เป็นลัทธิแห่งวงจรอุบาทว์ของแท้ ...เวรกรรม เวรกรรม !!



ขอบคุณ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=413892978721072&set=pb.270304969746541.-2207520000.1380538303.&type=3&theater



ลัทธิอนุตตรธรรมกับการโกหกยุคพระศรีอารีย์

ภาพบน ^^ พระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ ลักษณะมหาบุรุษ ยุคคันธาระ อินเดียโบราณ



พระศรีอาริยเมตไตรย์

เรียบเรียงโดย...ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป



จากสัจจคาถาเมตไตรยยะ หรือหมีเล่อเจินจิงของลัทธิอนุตตรธรรมได้กล่าวว่า
ฝอซัวหมีเล่อจิ้วขู่จิง : พระพุทธองค์ได้โปรดแสดงธรรม ว่าด้วยคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะอันสามารถเปลื้องทุกข์ได้กล่าวคือ

หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง : อันว่าพระเมตเตยยะ โปรดอุบัติมาในกาลครั้งนี้ เพื่อเจริญปณิธานโปรดสามโลกในชั้นเทพเทวา มนุษย์ และผี เพื่อการแปรเปลี่ยนโลกวุ่นวายให้เป็นเอกภาพ สมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกันการอุบัติมาของพระองค์ในครั้งนี้จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา

หลิ่งเป่าฉีหลู่หลิงซันตี้ : พระองค์สนองรับพระโองการล้ำค่าหาใดเสมอเหมือน ดุจดั่งรัตนะวิเศษสุดจาก อนุตรพระแม่องค์ธรรมฯ พระเมตเตยยะอุบัติมา ณ เมืองฉีหลู่ มณฑลซันตง ดินแดนวิเศษแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์


อธิบาย...

ลัทธิอนุตตรธรรมได้สั่งสอนบรรดาสาวกของลัทธิว่า ยุคนี้คือ ธรรมกาลยุคขาวซึ่งเป็นยุคของพระศรีอารยเมตตรัยพุทธเจ้า แต่ในทางพระพุทธศาสนาจากหลักฐานพระไตรปิฎก คำสอนของลัทธิอนุตตรธรรมได้สอนขัดแย้งจากพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก เพราะในพระไตรปิฎกได้แสดงไว้ว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปในกัปนี้จะมีในอนาคตอีกนานแสนนาน ในยุคนั้นมนุษย์จะมีอายุยืนประมาณแปดหมื่นปี คนจะมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าศรีอริยเมตไตยอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ย่อมแสดงพระธรรมเหมือนกับพระพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบัน คือ เรื่องสติปัฏฐาน อริยสัจ ๔ เป็นต้น...


ภาพบน ^^ พระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ ลักษณะมหาบุรุษ 
ประทับท่ามกลางหมู่นิกรในสวรรค์ชั้นดุสิต ...ยุคคันธาระ อินเดียโบราณ


จากพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ 119
ข้อความบางตอนจากจักกวัตติสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปีจักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่าพระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เมืองเกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗. พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้. พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต.



ภาพบนูู^^พระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ แสดงพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า 
ทรงเทินพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระศากยมุนีพุทธเจ้าไว้บนพระเศียร (เจดีย์สีขาว) ...ศิลปะทิเบต


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์อายุแปดหมื่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตไตรย์จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม.


พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามเหมือนตถาคตในบัดนี้ ฯลฯ



ภาพบน^^รูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ 
แสดงภาคเป็นเทพบุตร ลักษณะมหาบุรุษ ...ศิลปะทิเบต


ในยุคของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยทรงเป็นพระสาวก มีพระนามว่าพระอชิตเถระ ครั้งหนึ่งทรงได้รับพุทธยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

จากเอกสารเรื่องอนาคตวงศ์ สรุปได้ว่า 
พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรยพราหมณี ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ แห่งเกตุมดีนคร 

เมื่อทรงประสูติได้มีนิมิต ๓๒ ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อพระชนมายุ 8,000 ปี ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง 4 จึงทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย

ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ 12 ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง

พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ



ภาพบน^^พระศรีอาริยเมตไตรย แสดงภาคมหาบุรุษ ประทับกลางภิกษุสาวก 
งานแกะสลัก พบที่ถ้ำ ในยุคพระพุทธศาสนาโบราณในจีน ...ศิลปะจีน



จากสัจจคาถาเมตไตรยยะ หรือ หมีเล่อเจินจิง ของลัทธิอนุตตรธรรมได้กล่าวว่า


เซ่อจุ้ยซันเฉาจิ้วจ้งเซิง : 

เป็นบุญวาระสุดท้ายที่เบื้องบนทรงโปรดฉุดช่วยมวลชีวิตจิตญาณ เทพเทวา มนุษย์ ผี ที่ได้รับการฉุดช่วยทั้งสามโลกในครั้งนี้จะได้รับการอภัยโทษผ่อนผันเป็นการเฉพาะจากองค์ธรรมมารดา

จิ้วขู่เทียนจุนไหลจิ้วซื่อ : 

เมื่อพระเมตเตยยะ จะเจริญมหาปณิธานมาปรกโปรด เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ให้ชาวโลกในครั้งนี้...

หงหยังเหลี่ยวเต้ากุยเจียชวี่ :

เมื่อยุคกาลของธรรมกาลยุคแดงล่วงเลยไปผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคแดงต่างก็บรรลุธรรมกลับคืนบ้านเดิมเบื้องบนไปแล้ว

จ่วนเต้าซันหยังหมีเล่อจุน : 

บัดนี้ย่างเข้าสู่ธรรมกาลยุคที่สาม พระศรีอารยเมตไตรยจะปกครองธรรมกาลต่อไปหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี..."

อธิยาย>>
จากอนาคตวงศ์ ในพระพุทธศาสนา
พระศรีอริยเมตไตรย หรือพระเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ พุทธศาสนิกชนเชื่อว่าเมื่อศาสนาของพระศากยมุนีพุทธเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว โลกจะล่วงเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย อายุขัยของมนุษย์ลดลงจนเหลือ 10 ปี ก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี

ผู้สลดใจกับความชั่วก็หันมารวมกลุ่มกันทำความดี จนอายุขัยเพิ่มขึ้นถึง 1 อสงไขยปี จากนั้นจึงลดลงอีกจนเหลือ 80,000 ปี เชื่อว่าในยุคนี้จะมีพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งที่บำเพ็ญบารมีครบ 16 อสงไขยแสนมหากัป ลงมาตรัสรู้เป็น "พระเมตไตรยพุทธเจ้า"
เมื่อองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า พระชนมายุ 8000 ปี ออกผนวช และตรัสรู้แล้ว จนล่วงลับดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80,000 ปี

จนเวลาล่วงไปจนสิ้นพระศาสนาของพระองค์โลกก็จะเป็นกลียุค แล้วล่วงไปจนถึงไฟประลัยกัลป์ล้างโลก สิ้นแผ่นดินแผ่นฟ้าตลอดกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกว่า สุญญกัปป์ จะว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า นานนับอสงไขย โลกเรียกว่ายุคมืด

ภาพบน^^พระศรีอาริยเมตไตรย แปลงคติจากรูปลักษณะมหาบุรุษเดิมกลายเป็นภิกษุจีนจีนพุงพลุ้ย
ถือถุงย่าม ชื่อโป่ยต่อห่อเสียง คติดังกล่าวเกิดในสมัยหลัง ที่พระภิกษุรูปดังกล่าวก่อนสิ้นชีวิตเขียนกลอนถึงนิรมานกายพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพระเมตไตรย์ จึงเป็นที่มาให้ชาวจีนเปลี่ยนรูปพระมหาบุรุษให้เป็นหลวงจีนรูปดังกล่าว ...ศิลปะจีน


เมื่อสิ้นกาลช้านานแห่งสุญญกัปป์นั้น นับได้อสงไขยล่วงไปแล้ว จะเกิดกัปใหม่ตั้งแผ่นดินขึ้นใหม่เรียกว่ามัณฑกัปป์ จะมีสมเด็จพระพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิเจ้า และสมเด็จบรมจักร 

ในกาลครั้งนั้นจึงมีพระรามเจ้าเป็นอาทิจะได้ตรัสรู้ก่อน พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่สมควรจะได้ตรัสรู้นั้น ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบๆ กันไป มีดังนี้

พระรามพุทธเจ้า
พระธรรมราชาพุทธเจ้า
พระธรรมสามีพุทธเจ้า
พระนารทพุทธเจ้า
พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
พระเทวเทพพุทธเจ้า
พระนรสีหพุทธเจ้า
พระติสสพุทธเจ้า
พระสุมงคลพุทธเจ้า

และหลังพระอนาคตวงศ์นี้ ก็มีพระโพธิสัตว์บารมีเต็มรอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกนับจำนวนไม่ถ้วนพระองค์

................______________________.................


ที่มา__ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป





วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

เข้าทรงกับโรคจิต !!!


นพ.กัมปนาท  ตันสิถบุตรกุล


เขียนโดย...นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล (Kampanart Tansithabudhkun, M.D.)


     หลายปีก่อน ผมมีโอกาสได้ดูแลคนไข้ประเภทหนึ่ง มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนน่ากลัวยิ่งนัก คนไข้เหล่านั้นจำเป็นต้องให้ญาติหลอกพามาหรือบังคับพามารักษา เนื่องจากมีความคิดแปลกๆและพฤติกรรมแปลกๆ ไม่ยอมรับความเป็นจริง .....คือยอมละทิ้งสิ่งดีๆที่ตนเองมีอยู่ เช่น หน้าที่การงาน หรือครอบครัว ไปอยู่กับคนบางประเภท เช่น ร่างทรง หมอดู พระฤาษี ตามป่าเขาลำเนาไพร พระบางรูปที่อ้างว่ามีชื่อเสียง อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ บางคนกลุ่มหลงขนาดยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อเอาเงินไปทุ่มเทให้คนเหล่านั้น โดยที่ญาติไม่ทันสังเกต กว่าจะมารู้เรื่องราวก็เกือบสายไปเสียแล้ว 

ผู้ป่วยชายรายหนึ่ง ภรรยาพามารักษา เพราะคิดว่าสามีโดนร่างทรงหลอกเอาเงินไป (ชายคนนี้เป็นนักธุรกิจมีที่ดินมากมาย เงินทองก็ไม่น้อย) หายจากบ้านเป็นเดือนๆ ทรัพย์สินเริ่มหายไป ซึ่งภรรยาไม่คิดว่าเขาจะนอกใจ แต่คิดว่าถูกหลอกแน่นอน จึงหาทางหลอกล่อเอาสามีมารักษา หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มคนที่เรียกว่าเป็นสาวกของร่างทรงตามบุกมาถึงโรงพยาบาล แถมเอาไปออกข่าวว่าคนไข้ปกติดี หาทางเล่นเส้นสายเพื่อจะเจาะเข้าไปถึงคนไข้ในหอผู้ป่วยให้ได้ ในที่สุดภรรยาก็ถูกคนตามมาฆ่าตายถึงบ้าน ส่วนคนไข้ก็รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก จนเริ่มดีขึ้น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้ป่วยขาดยาอีก อาการก็กลับมาแย่ลงอีก และกลับไปหาร่างทรงคนเดิม(ซึ่งตอนนั้นถูกจับเพราะสงสัยจ้างวานฆ่าภรรยา) และอาการกลับแย่ลงอีก เริ่มมีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินอีก ลูกๆไม่กล้าทำอะไร เพราะเกรงถูกขู่ฆ่าเหมือนมารดา เท่าทีทราบ ตอนหลังอยู่ดีๆก็มีภาวะไตวายเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุครอบครัวคิดว่าผู้ป่วยโดนวางยา แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ทราบชะตาคนไข้อีก เพราะผมออกจากราชการมาแล้ว ....ในใจก็อดสงสารครอบครัวนี้ไม่ได้ 

มีอีกหลายครอบครัวที่ต้องหมดเงินหมดทองไปกับรูปแบบการหากินแบบนี้ ที่พบบางราย พวกร่างทรงหมอดู ก็ป่วยทางจิตด้วย ก็เหนี่ยวนำให้คนเข้ามาลุ่มหลง จมอยู่กับความเชื่อที่เกิดจากอาการหลงผิดของผู้นำเหล่านั้น จนกลายเป็นป่วยกันหมดทั้งวงการ 
บางรายก็โดนผู้นำลัทธิเหล่านั้นรวมหัวกันหลอก เพราะแอบสังเกตว่าเหยื่อดูแปลก น่าจะป่วยทางจิตหรือจิตอ่อนแอ สามารถเป็นช่องทางหลอกล่อหาผลประโยชน์ได้ โดยเฉพาะเงินทองทรัพย์สิน มีคนมาเล่าให้ฟัง รวมถึงคนไข้หลายคนก็โดนหลอกจนเสียเงินกันไปหลายสิบล้านบาท โดยที่ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ประเด็นหลังนี้ ตัวผู้หลอกลวงมักจะเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหรือ 18 มงกุฎ

........ดูเผินๆ เหมือนเหยื่อเหล่านั้นจะพูดจารู้เรื่องดี โต้ตอบดี 


ญาติก็เข้าใจว่าเป็นเพราะไป"ลุ่มหลง" แต่ไม่รู้จักคำว่า "หลงผิด" 
ในทางการแพทย์เรียกว่า Delusion ถือเป็นอาการของโรคจิตบางประเภท ที่เกิดขึ้นในคนป่วยทางจิต 
เช่น โรคจิตเภท โรคไบโพลาร์(โรคอารมณ์แปรปรวนชนิดสองขั้ว) และแม้แต่โรคจิตชนิดหลงผิดเอง (Delusional Disorder) 

ชนิดหลังนี้ถือว่าเป็นโรคจิตหลงผิดที่รักษาไม่ง่ายเลย เพราะผู้ป่วยไม่มีอาการหูแว่วประสาทหลอน แต่มีแค่ความคิดที่บิดเบือนหลงผิด งมงายอยู่กับความเชื่อของเจ้าลัทธิที่ตนเองเข้าไปติดกับ การรักษาค่อนข้างยากมาก ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ต้องแยกจากต้นตอที่ปั่นหัวเหยื่อเหล่านั้น และต้องรับประทานยารักษาอาการหลงผิดร่วมด้วย บางรายต้องใช้ยาในขนาดที่สูงมากและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและต้องต่อเนื่อง กว่าจะฟื้นกลับมาได้



โรคจิตชนิดหลงผิดนี้ เป็นโรคที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก เพราะคิดว่าเป็นแค่อาการลุ่มหลงดังกล่าวข้างต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่ที่พบมากจะพบในวัยผู้ใหญ่และวัยกลางคน เช่น อายุมากกว่า สี่สิบปีขึ้นไป มักสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าด้วย เมื่อไรที่ร่างกายอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอ หรือป่วยกระเสาะกระแสะ ก็จะถูกกระตุ้นหรือชักนำเหนี่ยวนำให้มีอาการได้ง่าย สำหรับข่าวดังๆของคนดังท่านหนึ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มีการสงสัยว่าจะมีการวางยา มอมยาหรือไม่ อันนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาหากผมได้พบหรือดูแลผู้ป่วย จะต้องส่งตรวจหาสารเคมีในร่างกายเสมอ ซึ่งห้ามมองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด (ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งเลือดไปตรวจที่ ร.พ.รามาธิบดี เพราะเป็นศูนย์แล็บที่มีมาตรฐานและทันสมัยมาก) เพราะสารเคมีที่มิจฉาชีพใช้กันอยู่ในสังคมไทยมีหลากหลายรูปแบบหลายชนิด เท่าที่ทราบมาว่าสามารถตรวจได้เป็นร้อยๆชนิด บางชนิดก็สามารถกล่อมประสาทให้ลุ่มหลง ขาดสติได้ โดยเฉพาะเมื่อได้ไปเจอกับคนที่แสวงหาผลประโยชน์และพอมีความรู้ทางด้านจิตวิทยาก็จะสามารถหลอกล่อให้ไปติดกับดักได้ง่าย จนผู้ป่วยเหล่านี้เสียผู้เสียคนหรือเสียเงินเสียทองมานักต่อนักแล้ว

อย่าลืมใส่ใจคนในครอบครัวของท่านกันเยอะๆนะครับ สังคมในปัจจุบันนี้มันน่ากลัวและโหดร้ายกันมากเหลือเกิน คนที่มีความอ่อนแอทางจิตใจ จะตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้อยู่เสมอ 
ผมมีคนไข้ไม่น้อยเลยที่หมดเงินไปกับการทำบุญตามวัดที่เน้นแต่เรื่องวัตถุ เสียเงินเสียทองไปมากมาย โดยไม่ได้แม้แต่ความสุขทางใจกลับมา....อย่าลืมว่า สังคมเสื่อม ศาสนาก็เสื่อม เพราะมีคนคอยทำลายศาสนา เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆและการสร้างอำนาจบารมีให้กับตนเอง.....แต่ที่สำคัญที่สุด .....คือคนไทยนั่นแหละ เป็นคนที่ยอมให้เขาหลอก หลงเชื่อโดยขาดสติพิจารณาดีๆ อะไรหวือหวาฟู่ฟ่า ตามกระแส ก็เฮโลกันเชื่อเข้าไป ไม่ยั้งคิด

....คิดง่ายๆ อะไรก็ตามที่อ้างอิงถึงหลักคำสอนทางศาสนาหรือเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์ ....ไม่ควรจะมีเรื่องทรัพย์สินเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องให้เกิดความวุ่นวายใจ หรือมีการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ...เพราะเงินทองถ้ามีบ้างพอประมาณจะช่วยค้ำจุนสืบทอดศาสนา แต่ถ้ามากเกินไป ก็เป็นตัวสร้างกิเลสและนำไปสู่การทำลายศาสนาได้ในเวลาเดียวกัน...



ที่มา
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=429638713810561&set=a.187334648040970.40202.160858877355214&type=1