วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ชื่อลัทธิดีแต่มันก็แค่ชื่อ..


เปิดหัวเรื่องต้องบอกก่อนทันทีนะครับว่าคำว่า "อนุตตรธรรม" เป็นคำศัพท์ที่่มีในพุทธศาสนาอยู่แล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าหมายถึง มรรค4ผล4นิพพาน1 ไม่ใช่จุดกลางคิ้ว ไม่ใช่รหัส อู๋ไท่ฝอหมีเล่อ หรือลัญจกรท่ามือที่ลัทธิอนุตตรธรรมสร้างขึ้นมานะครับ จากการที่ "ลัทธิอนุตตรธรรม" ใช้คำศัพท์ 2 คำทางพุทธศาสนามาตั้งชื่อลัทธิคือ 
อนุตตร แปลว่า สูงสุด หรือ ไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า
ธรรม   แปลว่า ธรรมชาติ หรือ สภาพที่ทรงไว้
และคำนี้ยังปรากฏชัดในบทพุทธคุณว่า..อนุตตรโร  

เมื่อคำว่า อนุตตร + ธรรม มาประกอบกลายเป็นคำว่า อนุตตรธรรม หมายความถึงธรรมอันสูงสุด และลัทธิอนุตตรธรรมก็ได้นำคำนี้ไปตั้งเป็นชื่อลัทธิเมื่อได้ความหมายของชื่อลัทธิที่ดีออกมาทำให้เหล่าสาวกจะพูดเสมอว่า ลัทธิตน เป็นสิ่งสูงสุด (ตามศัพท์) และอ้างว่าลัทธินี้เป็นธรรมชาติเดิมที่มีอยู่แล้วก่อนเกิดโลกและจักรวาล และเลยเถิดไปว่าลัทธิตนเป็นธรรมแท้ส่วนศาสนาต่าง ๆ เป็นเพียงกิ่งก้าน
คำแอบอ้างเหล่านี้เป็นเพียงการเล่นคำและยกตนจนเกินจริงแต่เนื้อหาย่อมไม่เป็นความจริงเนื่องจาก


การใช้คำศัพท์ที่ดีตั้งชื่อไม่ได้แปลว่าลัทธิจะต้องเป็นไปตามชื่อ

เพราะ “ชื่อ” ก็เป็นเพียงสิ่งที่ใช้เรียกขานเท่านั้น หากว่าลัทธิต้องเป็นไปตามชื่อจริง ๆ ถ้าวันนี้ข้าพเจ้าตั้งลัทธิใหม่ชื่อว่า “ลัทธินิพพาน” นั่นแปลว่าลัทธินี้คือนิพพานอย่างนั้นหรือ  แล้วทุกคนในลัทธิต้องถึงนิพพานตามชื่อหรือไม่..??..
หรือถ้าข้าพเจ้าเองเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า นายธรรม นั่นจะแปลว่าข้าพเจ้าก็คือ ธรรม ทันทีไช่หรือไม่..??.. นั่นย่อมไม่ไช่แน่นอน

การพูดลักษณะนี้เป็นเพียงการแอบอ้างเพื่อยกตนเท่านั้นทั้งยังเป็นการคาดเดาเอาเองตามความคิดโดยบ่งบอกถึงการไม่เคยปฏิบัติใด ๆ 
ในด้านประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยปรากฏว่าลัทธินี้จะมีมาก่อนทุก ๆ ศาสนาแต่เพิ่งจะมาเกิดในยุคหลังนี่เอง 

“ธรรมมะ” แท้ย่อมดำรงอยู่โดยไม่อาศัยสิ่งใดเพราะฉะนั้นการจะบอกว่าแต่ละศาสนาทำให้ ธรรมมะ ดำรงประโยชน์อยู่ได้นั่นเป็นการคิดเดาไปเองเนื่องจาก “ธรรมมะ” ไม่อาศัยศาสนาไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่ ธรรม ก็ยังเหมือนเดิมไม่ไช่จะเพิ่มหรือลดลง ไม่ได้แปลว่า ถ้าศาสนาดับแล้วธรรมมะก็จะหมดประโยชน์หรือดับไปด้วยผู้กล่าวเช่นนี้เป็นคนหลง

และก็ไม่ปรากฏว่า “ธรรมมะ” แท้จะให้กำเนิดเกิดดับสิ่งใดเพราะพ้นจากการเกิดดับไปแล้ว สิ่งไหนยังเกิดดับได้นั่นก็ยังเป็นบัญญัติที่เกิดขึ้นตามปัจจัย  และหากลัทธินี้กล่าวว่าลัทธิเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่แล้วดั้งเดิมจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งลัทธิขึ้นมา แต่การที่ก่อตั้งลัทธิขึ้นมาก็หมายความว่ามันไม่เคยมีมาก่อนนั่นเอง


**อีกอย่างพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า อนุตตรธรรม นั่นหมายถึง มรรค4 ผล4 นิพพาน1  แต่พอลัทธิอนุตตรธรรมเอาไปใช้กลับกลายว่าตีความใหม่ผิด ๆ ลงไปคือ จุดญานกลางคิ้ว คาถา5 คำ อู๋ไท่ฝอหมีเล่อ และลัญจกรท่ามือกราบแบบใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผิดจากหลักพุทธศาสนาแน่นอนครับและไม่เคยปรากฏในพระไตรปิฏกเล่มใดทั้งสิ้น

ธรรมมะ แท้นั้นย่อมเป็น..อกาลิโก..ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา 
คนที่กล่าวว่า "ธรรมมะ" มีเวลาปกโปรดและเก็บกลับหลบซ่อนจนต้องเป็นความลับ...ขอให้ทราบว่าเป็นเรื่องล้างสมองทั้งเพ   
สาวกอนุตตรธรรมเองก็อย่ามัวมายึดติดอยู่กับคำศัพท์ที่ตั้งชื่อลัทธิอยู่เลยครับชื่อมันก็แค่ชื่อเป็นสิ่งสมมุติเรียกขานกันเท่านั้นชื่อดีก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปตามชื่อ


แล้วเพื่อน ๆ หรือแม้กระทั่งเหล่าสาวกเองทราบใหมครับว่าชื่อลัทธิอนุตตรธรรมนี้ได้มาจากใหน
ไปดูรูปถ่ายกันครับ

ภาพบนนี้ก็ถ่ายมาจากหนังสือลัทธิอนุตตรธรรมเอง 
พิโธ่ พิถัง !! นึกว่าจะประเสริฐมาจากไหนที่แท้ก็เข้าทรงผีเปรตกันตามเคย 
หึหึ...แม้แต่จะตั้งชื่อยังต้องถามผีเปรตให้ตั้งให้..คิดอะไรเองได้บ้างเนี่ยครับ..???

ลัทธินี้หากยังทำเช่นนี้การจะเข้าถึง..อนุตตรธรรม..
ก็คงเข้าถึงได้แค่ชื่อเท่านั้น
..........______________________________________________...........


ส่วนนี้ขอยกเอาข้อความของท่าน The truth ที่เขียนไว้ในกูรูกูเกิ้ลมาให้ดูกันดังนี้..

อนุตตรธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นมีครับ ซึ่ง อนุตตรธรรม คือ ธรรมอัน
สูงสุด ซึ่งพระไตรปิฎก แสดงครับว่า อนุตตรธรรม คือ สภาพธรรมที่เป็น โลกุตตรธรรม 9 นั่น คือ มรรคจิต4ผลจิต 4และพระนิพพาน เป็น อนุตตรธรรม เป็นธรรมอันสูงสุด 

และ อนุตตรธรรมนี้ ก็ทำให้ถึงพระนิพพานได้ครับ คือ เพราะมรรคจิต 4 มี โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค ย่อมประจักษ์พระนิพพาน ถึงพระนิพพาน และ สามัญผล 4 คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล ก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ดังนั้น อนุตตรธรรม ที่เป็นมรรคจิต 4 ผลจิต 4 และพระนิพพาน เป็น ธรรมที่ทำให้ถึงพระนิพพานด้วย และ ตัวอนุตตรธรรมก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพานด้วยครับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 626

อนุตตรธรรม เป็นไฉน ?

มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรม

เหล่านี้ชื่อว่า อนุตตรธรรม.

แต่พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ดังนั้น ผู้ที่ศึกษาไม่ละเอียด เมื่อได้ยินคำว่า "อนุตตรธรรม" ก็นำไปตั้งเป็นคำสอนใหม่ แตกเป็นนิกายใหม่ ในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า วิถีอนุตตรธรรม อันเข้าใจว่า วิธีการปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมเข้าถึง อนุตตรธรรม แต่ในความเป็นจริง อริยมรรค มีองค์ 8 เท่านั้น ที่เป็นวิถีหรือ หนทางที่จะทำให้ถึง อนุตตรธรรม คือ มรรคจิต 4 ผลจิต 4 และพระนิพพาน หนทางอื่น ที่ไม่ได้แสดง หรือ สอนให้ตรงตามหนทางการอบรมปัญญา ที่เป็นอริยมรรค มีองค์ 8 หรือ สติปัฏฐาน แม้จะใช้ชื่อเรียกอันสวยหรูเช่นไร แต่หนทางการในการอบรมปัญญา ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตาม สติปัฏฐานและอริยมรรค ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ก็ไม่มีทางถึงลักษณะของอนุตตรธรรม ที่เป็น มรรคจิต ผลจิตและนิพพานได้เลย ก็เป็นเพียงการเข้าถึง ด้วยเพียงชื่อที่ใช้เท่านั้ครับ 

ซึ่ง วิถีอนุตตรธรรม หนทางที่จะถึงอนุตตรธรรมที่ถูกต้องก็ด้วย การเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญา ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือ วิถี หนทางที่จะถึง อนุตตรธรรมที่แท้จริงครับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ทีละเล็กละน้อยในหนทางที่ถูกต้อง นี่คือ ทาง
ดำเนินไปสู่ อนุตตรธรรม การดับกิเลสจนหมดสิ้น ถึงพระนิพพานครับ 

แม้ว่าจะไม่ใช้ชื่อว่า วิถีอนุตตรธรรม แต่หากดำเนินหนทางปฏฺิบัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ อนุตตรธรรมอยู่แล้ว8/2/2555


ที่มา
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2b635af5636bbeba



สรุปนะครับว่าหากเราทุกคนปฏิบัติตามทางที่ถูกต้องแล้วก็ย่อมจะเข้าถึง อนุตตรธรรมอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปเข้าลัทธิใหนให้เขาล้างสมอง
แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้วแม้ว่าจะไปเข้าลัทธิที่ตั้งชื่อสวยหรูเท่าใดก็ไม่มีทางจะเข้าถึง 
อนุตตรธรรม แท้ ๆได้เลย ก็คงเข้าถึงได้เพียงชื่อเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น