วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

อู๋ไท่ฝอหมีเล่อ..คาถาลวงโลก

ภาพบน^^หนังสือของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง ไตรรัตน์ หน้า 38


อู๋ ไท่ ฝอ หมีเล่อ - สัจจคาถาลวงโลก


เขียนโดย..ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป

ตามที่ลัทธินี้สอน จะเป็นรหัสคาถาของพระแม่องค์ธรรม ที่ใครทราบจะผ่าน ด่านตรีเทพพิทักษ์ และไปนิพพาน แต่หากแพร่งพรายความลับสวรรค์จะตกนรกห้ามออกเสียงให้ใครได้ยินนอกจากในพิธีเท่านั้น (ภายในเวลาที่จุดตะเกียงบนแท่นบูชา) 

นี่เป็นสิ่งที่เขาอุปโลกว่าคือพระธรรม พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทั้งหมดมีเท่านี้และมีรหัสคาถาซ่อนไว้เช่นนี้ และเข้ามาแทนที่พระธรรม อันเป็นรัตนะของศาสนาพุทธ เหมือนกับที่จุดญาณทวารเข้ามาแทนพระพุทธเจ้า และท่าลัญจกรเข้ามาแทนพระสงฆ์




ภาพบน^^หนังสือของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง ไตรรัตน์ หน้า 39

ตามคำกล่าวอ้างตามรูป เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ และเป็นการพยายามสร้างคาถาประจำลัทธิขึ้นมา โดยอิงแอบตามที่มีในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ที่จะมี "ธารณี" (咒 หรือ 陀羅尼) ที่มีเผยแผ่ทั่วๆ ไปในจีน และมีเรื่องของอานิสงค์และอานุภาพ ที่ช่วยเจริญศรัทธาศาสนิกชน ลัทธินี้จึงแต่งตำนานสร้างเรื่อง เพื่อให้เกิดคาถาลึกลับแสนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบ้าง

**ตามที่อ้างว่ายุคเขียว มีสัจจะคาถา คือ "อู่เลี้ยงโซ่วฝอ" (無量壽佛)
คำว่า อู่เลี้ยงโซ่ว (無量壽) แปลได้ว่า อายุที่ไม่มีประมาณ หรือ อมิตายุส 
คำว่า ฝอ หรือ ฝวอ (佛) แปลว่า พุทธะ หรือ พระพุทธเจ้า

ดังนั้น "อู๋เลี้ยงโซ่วฝอ" (無量壽佛) แปลว่า "พระอมิตายุสพุทธะ" ซึ่งแปลว่า พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุไม่มีประมาณ เป็นพระนามหนึ่งของพระอมิตาภพุทธเจ้า (阿彌陀佛) แห่งพุทธเกษตรสุขาวดี ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธมหายานอย่างยิ่ง  และตามคาถา "ไม่ได้สื่อหรือเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทีปังกร (燃燈佛) ที่เขาอ้างกันว่าเป็นผู้ครองยุคเขียวเลย 

(ขอเพิ่มเติมจากเจ้าของเว็บเอง >>แสดงให้เห็นอีกอย่างว่าคาถาของลัทธิบทนี้มีความขัดแย้งกันเองในตัว)" 

**ส่วนในยุคแดง ที่บอกว่ามีสัจจะคาถา คือ "หนานอู่อาหมีถัวฝอ" (南無阿彌陀佛) หรือ "หนานมออาหมีถัวฝวอ" 
คำว่า หนาน มอ (南無) คือ นะโม
คำว่า อาหมีถัวฝอ (阿彌陀佛) คือ พระอมิตาภพุทธเจ้า

ดังนั้น "หนาน มอ อา หมี ถัว ฝอ" (南無阿彌陀佛) คือ "นะโมอมิตาภพุทธะ = ขอนอบน้อมแด่พระอมิตาภพุทธเจ้า"
(เพิ่มเติมจากเจ้าของเว็บเอง >>ตามคาถาบทนี้ก็ไม่ได้สื่อหรือเกี่ยวข้องกับพระโคดมพุทธเจ้าที่เขาอ้างกันว่าเป็นผู้ครองยุคแดงเช่นกัน 
ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าคาถาของลัทธิบทนี้มีความขัดแย้งกันเองในตัวเช่นกัน) 


ซึ่งคำสวดดังกล่าว เป็นที่นิยมสวดกันทั่วไปของชาวพุทธมหายาน ตามอานิสงค์ที่ว่าเมื่อสิ้นชีวิต จะได้ไปอุบัติในดินแดนพุทธเกษตร (ดินแดนที่เกิดจากพุทธานุภาพ "ไม่ใช่นิพพาน") ของพระพุทธเจ้าอมิตาภะองค์นี้เพื่อได้ฟังพระธรรม และปฏิบัติบำเพ็ญสู่ความสำเร็จตามที่ตนตั้งใจ

โดยมีนิกายเฉพาะในพุทธมหายาน คือ นิกายสุขาวดี ที่จะเน้นสอนในเรื่องนี้ และมีพระสูตรพระธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ และแดนสุขาวดีโดยเฉพาะ 

ดังนั้น คาถาตามที่อ้างนี้ ไม่่ใช่เรื่องกรณีส่งไปนิพพาน และไม่เกี่ยวกับอนุตรธรรมมารดา (แต่มีความพยายามจะลากไปเกี่ยวให้ได้)  จึงเป็น "ความคิดไปเอง" ของเจ้าลัทธิตอนก่อตั้ง และ "พยายาม" หาคาถา และผูกเรื่องผูกราวหลายๆ อย่างมาไว้รวมๆ กัน และสอนต่อๆ กันมาอย่างนี้ เพื่อให้ลัทธิดูมีสาระ มีน้ำหนักน่าเชื่อมากขึ้น ซึ่งใช้ได้กับผู้ที่ไม่เคยได้ศึกษาความจริง แล้วเข้าไปหลงเชื่อจนเห็นของจริงก็ว่าเป็นของปลอม และถือเอาแต่ของปลอมไว้เหนือหัวสูงสุด ไม่เปิดใจยอมรับความเป็นจริงจนตายเปล่าไปก็มี




ถาพบน^^สัจจคาถาแห่งยุคขาวของลัทธิอนุตตรธรรม


นี่เป็นสัจจคาถา หรือ รหัสคาถา ที่เป็นความลับห้ามแพร่พรายในปัจจุบัน ถึงกับมีคำขู่นานับประการ ว่าหากเอาไปเปิดเผยจะมีอันเป็นไป ฟ้าดินลงโทษ จะติดคุกสวรรค์ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นมหากรุณาแห่งฟ้าเบื้องบนที่มีไม่เท่าเทียมแก่หมู่มวลมนุษย์ และทุกๆ ดวงญาณของสรรพชีวิต ที่เขาว่ากันว่า เป็นสุดที่รักแห่งพระแม่องค์ธรรมยิ่งนัก 

ดังนั้น เพื่อสืบทอดเจตนารมดั้งเดิมแต่เริ่มแรก ในมหากรุณาจากฟากฟ้าเบื้องบน โดยไม่มีแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ความเชื่อ ลัทธิศาสนา เพราะมนุษย์ทุกคนมีสิทธิโดยชอบในการได้รับความรักและประโยชน์จากเบื้องบนโดยเท่าเทียมกันทั้งหมด จึงขอนำสัจจคาถามาเผยแผ่ (โดยตีแผ่) เพื่อปรกโปรดช่วยเหลือหมู่มนุษย์ทั้งหลาย โดยเทียมเท่ากันทุกผู้ทุกคน



---------------------------------------------------------------------------


อู่ ไท่ ฝอ หมี เล่อ (無 太 佛 彌 勒)

...ขอให้ผู้นับถือ เชื่อถือ จงสวดกันทุกครัวเรือน และจะนำภาพขั้นตอนการประกอบลัญจกรฝ่ามือ มาลงแสดงในโอกาสต่อไป เพื่อปรกโปรดแทนฟ้าดิน และทำหน้าที่มอบมหาเมตตากรุณาแทนพระแม่องค์ธรรม แก่มวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่มีแบ่งแยกภพภูมิ สถานะ ฐานะ เชื้อชาติ ภาษา ฯลฯ โดยแม้แต่ประการใด เพื่อให้พ้นเสียจากภยันตราย นานัปประการ ที่จะมาเก็บกวาดทำลายให้ได้รับความทุกข์ความเสียหาย และเมื่อในที่สุดจะได้ไปสู่นิพพาน เพื่อกราบคารวะพระแม่ผู้ให้กำเนิดได้โดยทั่วๆ กัน...??? (ว่าไปตามลัทธิ)



---------------------------------------------------------------------------


คำว่า อู่ หรือ บ่อ (無) หมายถึง อู่จี๋ หรือ บ่อเก๊ก (無極) ซึ่งแทน อู่จี๋เหล่าหมู่ หรือ บ่อเก๊กเหล่าบ้อ (無極老母) คือ พระแม่อนุตรธรรมารดา ของลัทธิอนุตรธรรมนี้

คำว่า ไท่ หรือ ไถ่ (太) หมายถึง ไท่จี๋ หรือ ไท่เก๊ก (太極) ซึ่งพบเห็นสัญลักษณ์ได้จากเครื่องหมายหยินหยาง ที่ว่าเป็นทวิภาวะ คือความเป็นคู่เหตุผลตามสรรพสิ่ง 

คำว่า ฝอ (佛) หมายถึง ฝวอทอ (佛陀) หรือ พุทธะ ในที่นี้ เขาให้หมายถึงบรรดาพุทธะทั้งหลายของลัทธิของเขา ไม่จำกัดว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้า แต่อะไรก็ตามที่เขาสถาปนาเป็นพุทธะแล้ว อยู่ในความหมายนี้ทั้งหมด

คำว่า หมีเล่อ (彌勒) หมายถึง หมีเล่อฝอ (彌勒佛) หรือพระพุทธเมตไตรย ที่ยกย่องกันเป็นพุทธะผู้ครองธรรมกาลยุคขาว คือ ยุคปัจจุบันแล้ว 
แต่ตามความเป็นจริงในศาสนาพุทธ พระเมตไตรย ยังเป็นพระโพธิสัตว์ โดยควรเรียกว่า หมีเล่อผู่ซ่า (彌勒菩薩) หรือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ และไม่มีทางลงมาเกิดมาเพื่อครองอะไรต่อมิอะไรตามที่ลัทธินี้เขาแอบอ้างกันเป็นตุเป็นตะอย่างแน่นอน

จากสัจจะคาถา ห้าคำ สี่ความหมายนี้ เป็นภาษาจีนกลาง ในแบบจีนๆ เพราะต้นกำเนิดลัทธิ คือ จีนแผ่นดินใหญ่ และเขาถือกันว่าเป็นศุนย์กลางของโลก จึงมีกลิ่นอายของความเป็นชาตินิยม จึงเป็นที่สังเกตได้ว่า คาถานั้นไม่มีเค้าเงื่อนมาจากรากภาษาที่ใช้ในพระพุทธศาสนาล้วนๆ เดิมๆ ที่ควรเป็นภาษาสันสกฤตโดยเฉพาะ

เช่นในยุคเขียว ที่ว่า อู่เลี้ยงโซ่วฝอ นั่นเป็นคำแปลความหมายมาจากรากภาษาสันสกฤตเดิม โดยทับศัพท์ใหม่เป็นจีน และเป็นคำที่เกิดในสมัยแปลพระคัมภีร์ คือมีอายุหลักพันกว่าปี ไม่ใช่ห้าพันปีก่อนที่วาเป็นยุคเขียว (เผ่าพันธุ์มนุษย์เขาว่ามีตอนหกหมื่นปีก่อน) 
ที่เขาอ้างว่า มีสวดกันมาแต่ตอนนั้น ในยุคนั้นยังเป็นไปไม่ได้ และยังไม่มีคำภาษาจีนว่า อู่เลี้ยงโซ่วฝอ  เลย แม้แต่ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนก็ตาม เพราะพระพุทธศาสนายังไม่มีเข้าไปเผยแผ่เลย คำนี้มีที่มาจากรากศัพท์ตามพระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาแน่นอน 
ดังนั้น ...คาถาแรก เป็นเรื่องโกหกพกลม

ส่วนในยุคแดง ที่ว่า หนานมออาหมีถัวฝอ นั่นเป็นคำมาจากรากสันสกฤตเดิม ที่มาออกเสียงแบบจีนแล้ว เป็นคำติดปากชาวพุทธมหายานในจีนโดยทั่วๆ ไป และไม่ใช่คำติดปากของบรรดาพระมหาเถระเดิมจากอินเดียแน่นอน 
เพราะองค์ภาวนามีหลากหลายอย่าง แต่ที่เขายกมาเท่านี้ เพราะเจ้าลัทธิต้นสาย รู้จักแต่เพียงแค่นี้ และอ่านภาษาสันสกฤตไม่ออก ไม่
เข้าใจความหมาย ไม่เคยลงศึกษาความในพระไตรปิฏกข้างฝ่ายมหายานมาเลย แล้วก็อ้างไปตามเรื่องตามราว ดังนั้น คาถาที่สอง ก็เป็นเรื่อง ยกเมฆยกลม

ส่วยคาถายุคขาวปัจจุบัน มีคำว่า อู่ - ไท่ หมายถึง อู่จี๋ - ไท่จี๋ ที่มีต้นเค้ามาจากทางคติทางศาสนาเต๋าแน่นอน โดยเรื่องของไท่จี๋ เป็นเรื่องของกฏธรรมชาติที่เต๋าเน้นมาก ในพระพุทธศาสนามีสอน แต่ใช้คำในลักษณะอื่น คำนี้จึงเป็นส่วนใหม่ ที่เขาเอามาผสมแอบอ้างระหว่างพุทธและเต๋า และก็ยังยกพระเจ้าสูงสุดของตน คือ อนุตรธรรมมารดา ไว้สูงสุดสำหรับทุกสรรพสิ่งเช่นเดิม 




คาถาสามส่วนนี้

จึงเป็นเรื่อง โป้ปดมดเท็จ ...อีกแล้ว



ภาพบน^^หนังสือของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง ไตรรัตน์ หน้า 50


ลองมาดูกันต่อถ้าใครอยากทราบว่าถ้าอย่างนั้นลัทธิอนุตตรธรรมมีหลักในการบำเพ็ญภาวนาเพื่อนิพพานอย่างไรก็ต้องดูจากภาพบน

การบำเพ็ญธรรมของลัทธิอนุตรธรรม คือการยึดใน (สูตรสำเร็จ)
จุดญาณทวาร 
สัจจคาถา (อู๋ ไท่ ฝอ หมีเล่อ)
และลัญจกร + ใจแบบ "ทารก"

เขาย้ำคำว่า "ทารก" ที่ว่าสื่อใจถึงฟ้า คงเปรียบประดุจ "บุตร" หรือ "ลูก" (สาวกลัทธิ) วัยทารก ที่ร่ำร้องเรียกหา "แม่" (ธรรมมารดา) ด้วยมายาการแบบเด็กๆ 

และขอย้ำว่า ดวงจิตทารก ไม่ได้มีพื้นฐานบริสุทธิ์ สะอาด หมดจด แต่เป็นจิตที่มีกิเลสเทียมเท่าผู้ใหญ่ เพียงเพราะมายาต่างๆ ยังไม่ถูกปรุงแต่งตามจิตให้ชัดเจน และแสดงออกได้เท่าผู้ใหญ่ 

ทารกทั้งหลาย จึงยังได้แต่ร้องอ้อแอ้ดูไร้เดียงสา แต่ก็พร้อมจะปรุงแต่งทุกสิ่ง และนั่นไม่้ใช่ความบริสุทธิ์ แต่เป็นความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา = จิตทารก ไม่ใช่วิสุทธิจิต และ จิตทารก พาให้นิพพานไม่ได้ แต่พาให้เกิดภพ-ชาติ ได้ตลอดเวลา เป็นการพร้อมจะเวียนว่ายทุกขณะจิต 

ในไตรรัตน์ของลัทธินี้ ได้กล่าวถึง ญาณทวาร และสัจจคาถาไปแล้ว เหลือส่วนของลัญจกร คือ ท่ามือ จะนำมาชี้แจงว่ามีอะไร หมายถึงอะไร และความเป็นมาตามความเป็นจริง ตามที่เขาเอามาใช้ในแต่ละยุค ในโอกาสอันใกล้นี้...

ขอเพิ่มเติมจากเจ้าของเว็บเอง>> ..การที่ลัทธินี้กล่าวว่าทำจิตให้เหมือนเด็กแรกจึงจะนิพพานได้ก็ต้องกล่าวก่อนนะครับว่าเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์เพราะจิตทารกก็ยังมีกืเลสเช่นกัน  ถ้าจิตเด็กทารกบริสุทธิเป็นนิพพานจริงป่านนี้เราทุกท่านก็คงจะเเป็นพระอรหันต์กันตั้งแต่ในท้องแม่แล้วครับคงไม่มีใครโตกันมาถึงป่านนี้หรอกครับ  แต่นี่ก็เวียนเกิดเวียนโตมาหลายภาพชาติแล้วก็ยังไม่พ้น  ตามหลักพุทธศาสนาไม่เคยบอกว่าจิตทารกไม่มีกิเลสหรือหลุดพ้น  แต่บอกเพียงว่าผู้ที่ละสังโยชน์ 10 ประการ แจ่มแจ้งอริยะสัจ4 จึงได้ชื่อหลุดพ้น

.......................__________________________.........................


ที่มา>>ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น