วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

บทนำหนังสือไตรรัตน์ลวงโลก



ภาพบน^^หนังสือของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง "ไตรรัตน์" หน้า 3 


บทนำหนังสือไตรรัตน์ลวงโลก

บทนำหนังสือของลัทธิอนุตตรธรรมเรื่องไตรรัตน์  ได้กล่าวถึงไตรรัตน์ 3 ประการว่าเป็นสิ่งที่สิ่งศักสิทธิ์ประธานให้หรือก็คือ พระแม่อนุตตรธรรมมารดา นั่นเองที่ลัทธินี้อุปโลกขึ้นมาเหยียบหัวศาสดาทั้งหลาย 

เรื่องนี้เรียกว่าขัดกับพุทธศาสนาตั้งแต่เปิดโรงเพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นสอนให้ทุกท่านปฏิบัติทางแห่งมรรคผลนิพพานได้ด้วยตนเองและพิสูจน์ได้ทุกขณะไม่ไช่ต้องไปรอให้ใครที่ไหนมาประธานให้เพราะนั่นคือการช่วยเหลือตนเองไม่ได้แต่ต้องร้องขอและรอคอยเพียงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งความเชื่อเช่นนี้ไม่จัดว่าเป็นศาสนาพุทธแน่นอนแต่พุทธศาสนากลับสอนไว้ว่าจัดอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ 3 จำพวกดังนี้

ลัทธินอกพระพุทธศาสนา 3 เรียกว่า ติตถายตนะ แปลว่า แดนเกิดลัทธิ, ชุมนุมหรือประมวลแห่งลัทธิ 

1. ปุพเพตกเหตุวาท (ลัทธิกรรมเก่า คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบจะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน)

2. อิสสรนิมมานเหตุวาท (ลัทธิพระเป็นเจ้า คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้ยิ่งใหญ่) เรียกสั้นๆ ว่า อิศวกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท

3. อเหตุอปัจจัยวาท (ลัทธิเสี่ยงโชค คือ พวกที่ถือว่า สิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนหาเหตุหาปัจจัยมิได้ คือ ถึงคราวก็เป็นไปเอง) เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท

ทั้งสามลัทธินี้ ไม่ชอบด้วยเหตุผล ถูกยันเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆ กันมา เป็นลัทธิประเภท อกิริยา (traditional doctrines of inaction) หากยึดมั่นถือตามเข้าแล้ว ย่อมให้เกิดโทษ คือ ไม่เกิดฉันทะ และความพยายาม ที่จะทำการที่ควรทำและเว้นการที่ไม่ควรทำ (อ้างอิงจากพระไตรปิฏก)
องฺ.ติก. 20/501/222; อภิ.วิ. 35/940/496

เพราะฉะนั้นลัทธินี้ไม่ไช่ศาสนาพุุทธแน่นอน
เป็นแต่แอบอ้างชื่อศาสนาพุทธไปหากินเท่านั้น

ส่วนการตั้งคำถามทั้งสามข้อในหนังสือนั้นก็เป็นธรรมดาเพื่อที่จะโยงไปสู่ความเชื่อผิด ๆ ที่ลัทธิสอนกันมาทุกรุ่นว่า พระแม่อนุตตรธรรมมารดา คือแม่ผู้ให้กำเนิดจิตทุกคนและเราทุกคนนั้นก่อนที่จะลงมาเกิดบนโลกล้วนแต่เป็นพระอรหันต์อยู่บนนิพพานทั้งสิ้นแต่เมื่อมาเกิดแล้วก็หลงทางกลับนิพพานไม่ถูกจึงจำเป็นต้องมาหาลัทธินี้เพื่อจะรู้ทางกลับบ้าน   ซึ่งทางกลับนิพพานที่เขาว่าก็คือประตูนิพพานตรงดั้งจมูกที่อุปโลกกันขึ้นมาลวงโลกนั่นล่ะครับ

ตรงนี้เป็นความมั่วที่ขัดกับพุทธศาสนาอย่างรุนแรงด้วยเหตุว่าไม่ว่าจะเป็น กายใจ รูปนาม หรือสังขารทั้งหลายมิได้มีผู้ใดสร้างขึ้นมาแต่ล้วนเป็น "สังขตธรรม" คือธรรมที่มีเหตุปรุงแต่งทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าได้อธิบายการปรุงแต่งนี้ไว้ชัดเจนใน ปฏิจสมุปปบาท มิไช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็จะผุดเกิดขึ้นเพราะมีคนสร้างขึ้น

และสิ่งเหล่านี้ย่อมแปรสภาพไปตามไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของทั้งสิ้นผู้ที่จะถือว่าเป็นตัวตนของเราย่อมไม่ควรดังคำตรัสว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้สดับ พึงถือกายอันประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่นี้ว่า เป็นตนดีกว่า. การถือว่า จิตเป็นตนไม่ดีเลย. เพราะเหตุไร ? เพราะกายอันประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ นี้ ที่ตั้งอยู่ ๑ ปี, ๒ ปี, ๓ ปี, ๔ ปี, ๑๐ ปี, ๒๐ ปี, ๓๐ ปี, ๔๐ ปี, ๕๐ ปี, ๑๐๐ ปี แม้ตั้งอยู่เกิน ๑๐๐ ปี ก็ยังเห็นได้. แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง ใจบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ในกลางคืนกับกลางวัน ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งก็ดับไป." 
สังยุตตนิกาย นิทานวัคค์ ๑๖/๑๑๔

เพราะฉะนั้นการที่คิดว่ามีพระแม่สร้างขึ้นมาย่อมไม่ควรเพราะนั่นจะหมายถึง สักกายทิฏฐิ หรือการยึดมั่นอัตตาว่าเป็นตัวตนจึงหลงว่ามีผู้สร้างผู้ประธานอยู่นั่นเอง

ส่วนการที่ลัทธิกล่าวว่า...เราทุกท่านล้วนแต่ลงมาจากนิพพาน...นั่นก็ผิดอย่างร้ายแรงเหตุเพราะนิพพานนั้นย่อมพ้นจากการเกิดตายไปแล้วสิ่งไดที่ยังเกิดดับสิ่งนั้นไม่เรียกว่านิพพานและพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเช่นนั้น  นิพพานเสื่อมและพระอรหันต์หลงมาเกิดตายไม่เคยมีในพุทธศาสนาดังพระไตรปิฏกว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่(หมายถึงนิพพาน) ในอายตนะนั้นไม่มีดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ไม่มีอากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ, อกิญจัญญายตนะ, เนวสัญานาสัญญายตนะ, ไม่มีโลกนี้, ไม่มีโลกอื่น, ไม่มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ทั้งสอง, เราย่อมกล่าวถึงอายตนะนั้นว่า ไมใช่การมา มิใช่การไป มิใช่การตั้งอยู่ มิใช่การจุติ (การเคลื่อนจากที่เดิม) มิใช่การเกิดขึ้น ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเป็นไป ไม่มีอารมณ์ นั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์."
อุทาน ๒๕/๒๐๖

หากลัทธินี้คิดแบบนั้นและสอนอย่างนั้นนั่นก็หมายความว่านิพพานในแบบของลัทธิก็เป็นเพียงแค่ดินแดนหรือบ้านเมืองสักแห่งที่ยังย้ายเข้าย้ายออกได้ตลอดเวลาถึงจะกลับไปได้ก็ร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นนิพพานของลัทธินี้กับนิพพานตามพระพุทธศาสนาคงจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

และจากหนังสือนั้นการที่กล่าวว่าลัทธินี้ได้มอบธรรมมะให้ช่วยให้หลุดพ้นได้นั่นก็เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเพียงเท่านั้นเนื่องจากบุคคลจะหลุดพ้นจากกิเลสถึงนิพพานได้นั่นย่อมต้องปฏิบัติด้วยตนเองทั้งสิ้น   แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เป็นแค่ผู้บอกทางเท่านั้นแต่เรานั้นต้องปฏิบัติเองมิใช่จะให้ผู้ใดป้อนไส่ปากให้ได้  และเมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมรู้ได้เฉพาะตน  เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครที่จะมาหยิบยื่นให้กันได้เพราะหากแม้นว่าหยิบยื่นให้กันได้จริงพระพุทธเจ้าคงไม่ต้องเสียเวลาบำเพ็ญบารมีตั้งหลายอสงไขยและคงไม่ต้องเสียเวลาเทศน์ให้เหนื่อย   เพียงแต่่หยิบยื่นให้กันไปเลยจะไม่ง่ายกว่าหรือ  
เพราะฉะนั้นแนวคิดและการสอนของลัทธินี้จึงเท่ากับว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เพราะต้องรอให้ลัทธิมายื่นให้อย่างเดียว

เรื่องนี้จึงมั่วทั้งเพ  หากการบรรลุธรรมนั่นง่ายอย่างนั้นเพียงแค่หยิบยื่นให้กันได้ป่านนี้สัตว์คงไม่มีเหลือคงเข้าสู่พระนิพพานกันหมดนานแล้วครับ


และที่มั่วที่สุดในสามโลกคือการที่ลัทธิกล่าวตามหนังสือว่า

เมื่อปฏิบัติจนมรรคผลสมบูรณ์แล้ว
แต่กลับยังต้องมาแสดงไตรรัตน์ทั้งสามข้ออีกครั้งเพื่อเป็นหลักฐานเข้านิพพาน  

เรื่องแบบนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนนะครับมีแต่พวกลัทธิเดียรถีเขาสอนกันและยังเป็นการลบคำสอนพระพุทธเจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแต่กลับมีเป้าหมายโฟกัสมาที่ไตรรัตน์ลวงโลก 3 ข้อเป็นสำคัญเท่านั้น   ผมก็เพิ่งได้ยินนี่ล่ะว่าพระอรหันต์ทั้งหลายจะต้องแสดงรหัสพาสเวิร์ดก่อนเข้านิพพาน เอ้อ..เอากะเขาซี่ลัทธินี้ ไม่เรียกว่ามั่วก็ไม่ทราบจะเรียกอะไรครับ


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตามอนัตตลักขณสูตรดังนี้
"เมื่อจิตพ้นแล้วก็เกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้วดั่งนี้
อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำเราได้ทำเสร็จแล้วกิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"

นี่ล่ะครับการจบกิจอย่างสมบูรณ์แล้วมีตรงไหนหรือปล่าวครับที่บอกว่าต้องแสดงไตรรัตน์ลวงโลก ต้องเอานิ้วจิ้มดั้ง ท่องรหัส อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ และต้องทำท่ามือหงิก ๆ งอ ๆ พระไตรปิฏกเล่มไหนก็ไม่ปรากฏ 
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นการและบิดเบือนคำสอนอย่างร้ายแรงมีแต่หนทางนรกเท่านั้น

อ้อ...ก่อนจบผมจะบอกอีกอย่างว่าการที่ลัทธินี้สอนว่าโลกและสิ่งมีชีวิตเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อ 60000 ปี ตามที่สอนงมงายกันมาทุกรุ่นขอให้ไปศึกษานะครับวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์มาแล้วว่าโลกนี้เกิดมาตั้ง สีพันห้าร้อยล้านปีแล้วครับ 


โผล่หน้าไปโดนแดดไปหาความรู้จากข้างนอกบ้างอย่ามัวแต่จมงมงายแต่เรื่องในลัทธิ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น