วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ลัทธิอนุตตรธรรมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา




วิเคราะห์ลัทธิอนุตตรธรรม 
ตีพิมพ์ผ่านวารสารวิทยาการจัดการปริทรรศน์  ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2553 หน้า 85-88 
วันนี้ผมขอหยิบยกข้อความจากวารสารมาให้ทุกท่านอ่านนะครับ
เพื่อได้ทราบว่าในแวดวงการศึกษาเขามีความเห็น
ต่อลัทธินี้ไปในทิศทางใด

        หน้า 85 > ลัทธิอี้กวนเต๋า เป็นลัทธิใหม่หรือ เต๋าเพี้ยน ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวกับเต๋าที่เรารู้จักกันอยู่ ลัทธินี้กำเนิดขึ้นที่ไต้หวันขณะนี้กำลังหาสมาชิกจากศาสนาต่างๆในประเทศไทยเป็นการใหญ่โดยใช้ชื่อลัทธิว่า“อนุตรธรรม” ขอนำข้อเขียนของคุณกรองแก้วที่เล่าถึงเรื่องนี้มาให้ทราบ 
       “ดิฉันถูกเพื่อนชวนแกมบังคับให้เข้าไปรับธรรมะที่วัดจีนแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครพนม เขาให้เข้าพิธี รับพระจ่ายเงินคนละ 100 (หรือ 200 บาท แล้วแต่สำนักของเขา) เขาเรียกให้ไปเจิมหน้าเจิมลงตรงระหว่างคิ้วเหนือดั้งจมูกหักเล็กน้อย เรียกว่าเปิดจุดญาณทวาร เปิดแล้วทำให้ตรัสรู้ได้ทันที เพราะเป็นยุคโลกเดือดร้อนหนักไม่ต้องรอปฏิบัติเสียเวลาหลายปี แล้วก็ให้คาถาลับเรียกว่า รหัสคาถา มีห้าคาคือ อู่ ไท่ ฝ่อ หมี เล่อ ห้าคำนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาดแต่ดิฉันคิดว่าของดีมันจะปิดไว้เป็นความลับได้อย่างไร เขาให้เรามีสมุดประจำตัวเราอยู่เล่มหนึ่ง เหมือนสมุดพกงั้นนะคะ เขาให้กราบเช้ากราบเย็นเอาติดตัวไปไหนต่อไหน ตอนนั้นดิฉันอยู่ ม. ปลาย เพื่อนพาไปก็ไปตามๆ เขา เขาบอกให้จดชื่อก็จดตามเขาไปแบบไม่ได้คิดอะไรเกรงใจเพื่อนมากกว่าเพราะเพื่อนรักชวนเรามา ทราบว่าเขามีอุบายให้ช่วยหาสมาชิก หาได้มากเท่าไรก็ได้ไปสวรรค์สูงขึ้นเท่านั้น พอเขาจดชื่อเราแล้วเราก็ต้องไปเข้าพิธีเพื่ออ่านชื่อของเราแล้วเผากระดาษที่มีชื่อของเรา (เป็นภาษาจีน) นั้นเพื่อส่งไปให้เทพเจ้ามีจุดธูปหลายดอกแล้วให้เทพเจ้า

        หน้า 86 > บันทึกเอาไว้ว่าเรามีชื่ออยู่บนสวรรค์แล้วไม่ว่าเราจะ ตายตอนไหนให้มั่นใจได้เลยว่าเราได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์แน่ๆ แล้วก็บริจาคเงินให้กับเขาไป ในใจตอนนั้นคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยแค่จ่ายเงิน 100 บาท แล้วให้เขาอ่านชื่อเราเนี่ยนะเราจะได้ไปอยู่สวรรค์ไร้สาระจังเลย แล้วเขาก็มีกฎมีกติกามีข้อห้ามสารพัด ตอนนั้นฟังแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแต่เราก็รู้ตัว ณ ตอนนั้นว่านี่ไม่ใช่วิถีแห่งผู้รู้หรอกก็บอกไม่ถูกนะคะ ว่าทำไมคิดแบบนั้นทั้งที่ไม่มีใครสอนแต่อีกใจหนึ่งตอนนั้นกลับรู้สึกสงสารผู้คนที่ไปบันทึกชื่อมากกว่า เขา ต้องการที่พึ่งทางใจยึดเหนี่ยวเขาไม่รู้ว่าหนทางแห่งการไปสวรรค์ของคนพวกนี้นั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างที่เขาคิด เสียดายที่ต้องมาเสียเวลางมงายกับเรื่องไร้สาระ เวลาตายไปจะเอาบุญปลอมๆไปใช้ได้อย่างไร บุญดีๆ ทางศาสนาพุทธก็ไม่เอา เเล้วนี่ อีกอย่างหนึ่งเขาอ้างว่า ศาสนาอนุตรธรรม หรือเต๋าของเขานั้น เป็นต้นกำเนิดของทุกศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า ขงจื้อ เกิดจากอนุตรธรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้า พระเยซู พระมูฮัมหมัด ล้วนเป็น ลูกน้องของอนุตรธรรมทั้งนั้น เขาเป็นแม่ของศาสนาทั้งปวง ดิฉันว่าเป็นการหมิ่นศาสนาที่น่าฟ้องร้องเอาความได้ อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่แค่อ้างถึงเฉพาะศาสนาคริสต์ มีการอ้างถึงศาสนาต่างๆด้วยเช่นกันพูดง่ายๆก็คืออ้างถึง 5 ศาสนาเลย คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า ข๋งจื้อ โดยเฉพาะจะใช้คำสอนของศาสนาพุทธทางมหายานมาดัดแปลง มีการถือศีลกินเจ การบำเพ็ญธรรม การจ่ายซองทำบุญ การแจกหนังสือธรรมะ ซึ่งลัทธินี้ได้โฆษณาชวนเชื่อว่า เป็นศาสนาที่สูงส่ง นับถือแล้วทำให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง เช่น 
   1. ทำให้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตให้ดีขึ้นลดเคราะห์ภัยพิบัติ 
   2.รู้จักตนเองว่ามาจากไหน มีปัญญา 
   3.ได้รับการถอนชื่อจากบัญชียมโลกไปสถิต บนสวรรค์ 
   4. สามารถฉุดช่วยบรรพบุรุษ 7 ชั้น ลูกหลาน 9 ชั้น พ้นจากนรกทั้ง          10 ขุมได้ 
   5.ได้รับนิรโทษกรรมจากองค์ธรรมมาร 70 % 
   6. มีไตรรัตน์สามารถคุ้มครองภัยได้(ไม่เหมือนไตรรัตน์ในศาสนาพุทธ ไม่เหมือน                 ไตรรัตน์ของเต๋า) 
   7. บำเพ็ญธรรมจิตวิญาณจะกลับคืนสู่แดนนิพพาน พ้นจากความ              ทุกข์ทั้งปวง 
       คำสอนของลัทธินี้จะเอามาจากร่างทรงของหญิงสาว ที่ลัทธินี้เรียกว่าร่างคุณ จะมีพวกเซียนต่างๆมาเข้าทรงให้โอวาทเป็นภาษาจีน โดยเฉพาะจี้กงและโพธิสัตว์จันทร์ฯ พุทธเจ้า นบีมูฮัมหมัด พระเยซู 8 เซียน นาจา และอีกหลายมั่วไปหมด แต่คนที่หลงเชื่อและสาวกจะเป็นคนเรียบร้อย พูดจาไพเราะ แต่งกายสี ขาวเรียบร้อย กินเจ บำเพ็ญพรหมจรรย์ซึ่งจะเอาความดีมาแสดง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นการหลอกกันทั้งเพเสียเวลาบำเพ็ญความดีที่ถูกทางของศาสนาพุทธ ตายไปจะเอาบุญไหนไปได้พึ่ง ชีวิตหน้าจะดีอย่างไร แล้วที่อวดว่าเจิมหน้าท่องคาถาแล้วสำเร็จตรัสรู้ดิฉันก็ไม่เห็นมีใครได้สำเร็จสักคน แต่ไม่เห็นมีใครคิดพิจารณา ยอมให้หลอกกันไปเรื่อยๆ แล้วพาคนอื่นให้ไปถูกหลอกต่อไปเรื่อยๆ ดิฉันสงสารคนเชื่อง่ายพวกนี้พวกนี้ทำบาป สร้างมิจฉาทิฐิให้ญาติมิตร ดูถูกศาสนาของตนว่าไม่ดีเท่าของใหม่บาปมากนะคะ
       ลัทธิอนุตรธรรมกลุ่มนี้อ้างตัวว่าได้รับโองการจากพระเจ้าหรือเรียกว่าองค์ธรรมมารดาให้มาโปรดชาวโลกและบอกว่าปัจจุบันนี้ไม่มีศาสนาใดและคนใดที่จะได้รับความรอดและไปสวรรค์ได้ต้องได้รับธรรมจาก


       หน้า 87 > อาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมะเท่านั้นถึงจะได้รับความรอดจะได้ไปสวรรค์ได้ ส่วนมากกลุ่มนี้จะอ้างเรื่องราวประวัติของพระสงฆ์ทางพุทธมหาญาณ ตั้งแต่พระโพธิธรรมซึ่งเป็นพระสงฆ์อินเดียที่มาเผยแพร่ธรรมะในจีนโดยอ้างต่อไปว่า ได้มีการถ่ายทอดอนุตรธรรมจากพระโพธิธรรมต่อมาเรื่อยๆ จนถึงอาจารย์ปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใคร ทราบว่าคือใคร นอกจากนั้นยังอ้างถึงพระคำภีร์ไบเบิ้ลบางส่วนและอ้างถึงกางเขนของพระคริสต์ด้วย โดยบอกว่าไม้กางเขนอยู่ที่ตาสองข้างกับจมูก การจิ้มเจิมลงไปตรงนี้คือการประทับไม้กางเขนลงเป็นหน้า คนกลุ่มนี้จะอ้างว่าคนเราจะกลับสู่แดนนิพพานหรือสวรรค์ของพระเจ้าได้ต้องได้รับไตรรัตน์หรือสิ่งวิเศษ3ประการ คือจุดญาณ ทวาร รหัสคาถา และลัญจกร 
     1.จุดญาณทวาร คือจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณ พวกลัทธินี้ก็จะเอาเรื่องพระเยซูโดนตรึงกางเขนและมีโจรอยู่ด้านข้างพระองค์ทั้งสองข้าง โดยกลุ่มจะบอกว่ากางเขนของพระเยซูคือปริศนาธรรม กางเขนของโจรทั้งสองก็คือดวงตาซึ่งดวงทำให้เกิดความชั่วจากการมองเห็นสิ่งไม่ดีและอยากได้สิ่งต่าง ส่วนกางเขนของพระเยซูคือจุดญาณทวารก็คือใต้คิ้วทั้งสอง ข้างอยู่บนดั้งจมูกระหว่างตาทั้งสอง ซึ่งกลุ่มนี้อ้างเรื่องกางเขนแบบผิดๆ โดยนำข้อความจากศาสนาคริสต์มา ดัดแปลง (มัทธิว 7:13) คือ จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก ลัทธิอนุตรธรรมนี้จะอ้างว่าประตูที่แคบคือจุดญาณทวาร มนุษย์ต้องเปิดจุดญาณทวารก่อนถึงจะไปสวรรค์ได้ ก็อยากให้พี่น้องชาว คริสต์โปรดระวังกลุ่มนี้ด้วยนะคะเพราะลัทธินี้จะตีคำในไบเบิ้ลแบบผิดเพี้ยนเอามาเป็นประโยชน์แก่ลัทธิตน 
     2. รหัสคาถา คือ คาถา: อู่ ไท่ ฝอ หมี เล่อ ดิฉันทดลองท่องคาถานี้ดูหลายครั้งก็ไม่เห็นมีสิ่งมหัศจรรย์ใดๆที่เป็นมงคลเกิดขึ้น มันก็เหมือนคาถาเวทมนต์ทั้งหลายที่พวกเชื่อไสยศาสตร์ท่องบ่นกัน ช่วยอะไรไม่ได้จริง ที่น่าสงสัยคือเขาใช้อุบายบอกว่าเป็นความลับ อย่าไปบอกใครนะจะทำให้คาถานี้หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปหมด สวรรค์จะไม่ยอมบอกอะไรให้อีกแล้ว มนุษย์จะเดือดร้อนโดยไม่มีเบื้องบนมาช่วย อะไรๆเขา ก็อ้างเบื้องบนไปหมด 
       3.ลัญจกร พวกลัทธิอ้างว่าเป็นเครื่องหมายที่จะพาให้พ้นจาก 81 มหันตภัยในธรรมกาลยุคขาว ซึ่งลัทธินี้จะบอกว่าลัญจกรอยู่ที่มือทั้งสองของเรา โดยบอกว่ามีอยู่สองจุดคือใต้นิ้วนางและนิ้วก้อย พวกอาจารย์ของลัทธิกล่าวว่า คนอื่นไม่มีโอกาสรู้ว่าที่นิ้วมือของเรามี ของดีอยู่ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายที่สุดที่นำมาหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้จักคิด 
       ต่อมาดิฉันได้ทราบว่าลัทธิอนุตรธรรมนี้ เป็นลัทธิหนึ่งที่มาจากไต้หวันชื่อ ลัทธิอี้กวนเต๋า มีสองสายไม่ถูกกัน วิธีปฏิบัติก็มีการให้รับธรรมะ กินเจ ไหว้พระ หลายร้อยครั้ง หาสมาชิก มีการเข้าค่ายกันบ้าง มีวิธีแยบยลในการชวนให้บริจาคเงินและ ใช้เวลามากมายในการไปทำกิจกรรมจนบางคนไม่เป็นอันทำมาหากิน เอาแต่หาคนไปเข้าลัทธิ และไปร่วมทำกิจกรรมกับเขา ทั้งยังสิ้นทรัพย์ไม่น้อยไปกับการบริจาคในกิจกรรมต่างๆ ของลัทธินี้ บางครอบครัวมีรายได้น้อยก็บริจาคจนแทบไม่มีอะไรกินลูกหลานต้องอดอยาก อาจารย์ของพวกลัทธินี้พยายามทำให้ศิษย์บริวารของตนละทิ้งศาสนาเดิม เช่น บอกเสมอว่า ในศาสนาพุทธนั้นมีพระสงฆ์เลวๆนอกรีตนอกรอย มากมาย เช่น ดื่มเหล้า เล่นการพนัน มีเมีย เล่นไสย ศาสตร์ สะสมเงิน สู้ลัทธิอนุตรธรรมไม่ได้มีแต่คนดีๆ ดิฉันได้ยินพวกอาจารย์ใหญ่ๆของเขากล่าวย้ำหนักหนาในข้อความนี้เพื่อให้ถอยห่างจากศาสนาพุทธ ดิฉันเห็นว่ามันเกินไป พระที่เลวนั้นมีอยู่พระที่ดีก็มีมาก พระเลวบางคนมีอยู่ก็ไม่ได้แปลว่าศาสนาพุทธเลว ดิฉันเป็นห่วงคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมากๆ เพราะว่าไม่ค่อยรู้เรื่องของศาสนาพุทธเท่าใดนัก ไม่รู้จักศาสนาพุทธดีพอจึงไม่แน่นแฟ้นในศาสนา พอเขามาชวนเข้าอนุตรธรรมก็เกรงใจไปกับเขาง่ายๆ ทั้งชวนลูกหลานภรรยาสามีไปด้วย แล้วค่อยๆทิ้งศาสนาพุทธทีละน้อยจนเข้าลัทธิอนุตรธรรมเต็มตัวทั้งครอบครัวไม่มีศาสนาพุทธใน 


      หน้า 88 > หัวใจอีกแล้ว จึงขอกล่าวว่าลัทธิอนุตรธรรมเป็นภัยต่อ ความมั่นคงของพุทธศาสนา” อยากให้ผู้อ่านพิจารณาคeสอนของลัทธิอนุตรธรรม เพื่อดูว่าลัทธิอนุตรธรรมกล่าวตู่ดูแคลนศาสนาอื่น หรือไม่ ดังนี้ 
“อนุตตรธรรมเป็นแก่น ส่วนศาสนาเป็นคุณประโยชน์ 
อนุตตรธรรมเป็นรากเง้า ส่วนศาสนาเป็นกิ่งก้าน 
อนุตตรธรรมเป็นแก่นธรรมที่อยู่ภายใน 
ส่วนศาสนาเป็นคุณประโยชน์ของธรรมะที่อยู่ภายนอก 

      ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดในโลกก็แล้วแต่ขึ้นชื่อว่า ศาสนัง ขึ้นชื่อว่าเป็นการสั่งสอน ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่เปลือกนอกทั้งนั้นยังไม่ได้เข้าถึงแก่นข้างใน” * เป็นอันว่าเขากล่าวยกตัวว่า ลัทธิอนุตรธรรมวิเศษสุด ไม่มีศาสนาใดจะยิ่งกว่า ใครจะเชื่อก็เชื่อไปเถิดครับส่วนผมไม่เชื่อเด็ดขาด 

----------------------------------------

ขอบคุณข้อมูลจาก >วารสารวิทยาการจัดการปริทรรศน์
จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2553 หน้า 85-88  http://management.aru.ac.th/mnge/images/pdf/Research/bindertwo.pdf





วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาจารย์จิ้งคงตอบปัญหาอนุตตรธรรม



ลัทธิอนุตรธรรมไม่ใช่พุทธศาสนา 

佛教與一貫道的區別
พระอาจารย์จิ้งคงภิกษุมหายานคนสำคัญตอบชัดเจน


**คำถาม
ช่วงนี้พวกลัทธิอนุตรธรรมกำลังทำลาย­หลักพุทธศาสนา โดยเผยแพร่ไปทั่วแถบแม่น้ำมู่ตันในมณฑลเฮยหลงเจียง ขอให้ท่านอาจารย์เมตตาอธิบาย ว่าลัทธิอนุตรธรรมกับพุทธศาสนาต่างกันอย่า­งไร 


**ตอบ

ดูความแตกต่างได้ง่ายๆคือ พุทธศาสนาจะต้องอ้างอิงหลักพระคัมภีร์ คัมภีร์ในที่นี้หมายถึงต้องมีการอ้างอิงไว้ใน"พระไตรปิฎก"เท่­านั้น เพราะคัมภีร์อื่นๆก็มีการปลอมแปลงได้ หากในพระไตรปิฏกไม่มีกล่าวเอาไว้ นั่นก็แสดงว่าเชื่อไม่ได้ หากมีแสดงเอาไว้(ในพระไตรปิฎก) รับรองไม่มีปัญหา ดังนั้นพระไตรปิฏกคือหลักการที่แท้จริงของพุท­ธศาสนา ซึ่งจะต้องถือหลักนี้นำไปศึกษาและปฎิบัติต­าม นี่คือพุทธศาสนาที่แท้จริง ถ้าหากไม่อิงตามหลักพระไตรปิฎกแล้ว ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาอย่างแน่นอนจุดนี้พวกเราจะต้องแบ่งแยกออกให้ชัดเจน เมื่อก่อนมีคนถามอาตมาว่า ลัทธิฝ่าหลุนกงเป็นพุทธศาสนาหรือไม่ อาตมาตอบว่าสิ่งที่ฝ่าหลุนกงสอนไม่มีในพระ­ไตรปิฎก ดังนั้นก็ไม่ใช่พุทธศาสนา

ถ้าหากพวกเขาอ้างว่าเป็นศาสนาพุทธจริง คัมภีร์ในพุทธศาสนามีมากมาย ไม่ว่าจะอิงหลักคัมภีร์ใดมาถือปฏิบัติ ล้วนนับว่าเป็นพุทธศาสนา เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ ให้พวกเธอเอาหลักนี้ไปพิจารณา ก็จะแยกแยะได้ถูกต้อง







วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นักพรตเต๋าประกาศเตือนภัยลัทธิอนุตตรธรรม



ประกาศ
กลุ่มนักพรตเต๋าประเทศไทย


เนื่องด้วยมีบางลัทธินิกายได้ออกมากล่าวว่า พระแม่ซีหวังหมู่ คือพระแม่อนุตรธรรมมารดา ทรงสร้างสรรพสิ่ง และจักรวาลรวมถึงสร้างองค์ ตรีวิสุทธิเทพ(三清ซานชิง)นั้น แท้ที่จริงแล้วพระแม่ซีหวังหมู่ กับพระอนุตรธรรมมารดา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่ประการใด เนื่องจาก

1. ไม่มีหลักฐานในด้านเทววิทยาของศาสนาเต๋าที่บอกว่า พระแม่ซีหวังหมู่ หรือ เหยาฉื่อจินหมู่ คือองค์เดียวกับ อนุตรธรรมมารดา

2.ในพระคัมภีร์เต้าจ้าง道藏 ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักในศาสนาเต๋าก็ไม่มีหลักฐานกล่าวอ้างถึงความเชื่อข้างต้น

3.ศาสนาเต๋าไม่มีหลักคำสอนเรื่อง 收圓(โซวหยวน เหลาหมู่ส่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาโปรดสัตว์ให้กลับไปสวรรค์) ซึ่งคำสอนเหล่านี้จะมีแค่เฉพาะในหมู่คนลัทธินิกาย อีก้วนเต้าเท่านั้น

4.พระแม่ซีหวังหมู่ตามคติของศาสนาเต๋า ท่านเป็นประมุขของเซียนฝ่ายผู้หญิง ที่ครองสวรรค์ตะวันตก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างโลก แต่อย่างใด

ผู้ศึกษาเต๋าพึงพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาถึงที่มาที่ไปก่อน จะได้ไม่เข้าใจผิดกับคำสอนของลัทธินิกายอื่น ที่พยายามจะยืมชื่อและเทพเจ้าของศาสนาเต๋าไปเป็นเครื่องมือเผยแพร่ลัทธิของตนเอง

จึงเรียนมาเพื่อชี้แจ้งเพื่อทราบและ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ลงชื่อ.........................................
นักพรตเฉินโหลจื่อ
ลงชื่อ.........................................
นักพรตเฉินโหลลี้ 

ลงชื่อ.........................................
นักพรตหลินโหลทง
ลงชื่อ.........................................
นักพรตเฉินโหลต๊า
ลงชื่อ.........................................
นักพรตหวางโหลเจี่ยน
ลงชื่อ.........................................
นักพรตโหลเฉวียน
(ลงตราประทับ)



ที่มา
ประกาศ กลุ่มนักพรตเต๋าประเทศไทย
กลุ่มศาสนาเต๋าแห่งประเทศไทยออนไลน์

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รูบแบบการเข้ามาแถของสาวกลัทธิอนุตตรธรรม



สาวกลัทธิอนุตตรธรรมที่อธิบายตัวเองไม่ได้จะมีรูปแบบในการเข้ามาแถดังนี้

1 เข้ามาด่า แบบหนัก ๆ แบบจัดเต็มอัดอั้นมานานเป็นพันปี สัตว์เลื้อยคลานยั้วเยี๊ยโดยคนกลุ่มนี้จะมองเห็นคนรอบข้างกลายเป็นมาร เป็นสัตว์นรก เป็นคนที่ต้องสาบแช่งให้ตายทุกวัน

2.เข้ามาด่าแบบปัญญาอ่อนแอบแบ๊วตามประสาคนไม่หยาบมากแต่ก็มีส่วนร่วมบ้างเพราะอัดอั้นเหมือนกัน..คนกลุ่มนี้เข้ามาด่าจนจบแล้วยังจับใจความตัวเองไม่ได้สรุปความตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็จะแบ๊วหายไปตามกาลเวลา..อ้อ..แล้วคนประเภทนี้จะเขียนหนังสือไม่ค่อยถูกเท่าไรถึงแม้จะแก่แค่ใหนก็ตามแต่ความรู้เรื่องการเขียนยังเทียบเท่าเด็กอนุบาลอยู่

3 เข้ามาคร่ำครวญ พร่ำเพร้อ แบบต้องการให้เห็นความดีของลัทธิ 

4. เข้ามาแอ้บแบ๊ว แบบทำเป็น ผู้น้อย ถามนั่นนี่แต่ความจริงลองดูที่คำถามนะครับว่า ถามเพื่อต้องการโยงไปสู่ประเด็นไหนหรือบางครั้งก็โยนหินถามทางเท่านั้นล่ะ และสุดท้ายก็อาจจะจบด้วยประโยคทองว่า..ผู้น้อยร่วมศึกษา?

5. เข้ามาอธิบายมั่ว ๆ ข้อมูลก็มั่ว คือถ้าพวกนี้ส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่ในลัทธิ อาจเป็น ถันจู่ เจี่ยงซือ แม้แต่เตี่ยนฉวนซือ หรือคนที่อยู่ในลัทธิมานานพวกนี้จะมีปรัชญาและวาทะที่เก่งกาจพอควร แต่คุยไปเหอะครับจับประเด็นเขาให้ถูกก็จะทราบว่าไม่มีแก่นสารและไม่มีความจริงเลย ..ส่วนข้อมูลพวกประเภทนี้จะเยอะนะครับบางคนอาจหลงข้อมูลไปเลย แต่ดูให้ดีเถอะครับว่าข้อมูลพวกนี้น่ะมั่วทั้งหมดเพราะจะเป็นข้อมูลที่เอามาจากลัทธิซึ่งมันเป็นข้อมูลที่ดัดแปลงมาแล้วทั้งนั้นแต่ไม่มีหลักฐานที่ไหนมาอ้างอิงหรือรับรองทั้งนั้น ให้ลองสืบสาวไปต้นฉบับในทุก ๆ ศาสนานะครับจะทราบว่าเดิมทีไม่เคยมีแต่พวกนี้มาเติมเข้าไป หรือหากมีก็มีแต่ชื่อแต่เนื้อความนั้นพวกนี้แปลเนื้อความใหม่ทั้งนั้นแปลลงเหวไปคนละเรื่องเลยครับ ..ยิ่งถ้าลองถามหา พระวจนะพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัย พระไตรปิฏก เพื่อมาอ้างอิงจะทราบว่าไม่ตรงกับพระไตรปิฏกแม้แต่หมวดเดียวหรือจะบอกว่าไม่มีเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นถ้าจะดูข้อมูลให้ดูข้อมูลที่มีจริงในต้นฉบับและมีพระไตรปิฏกรับรอง แต่ข้อมูลที่มาจากลัทธิแต่งนั้นไม่ต้องไปดูเพราะมันมั่ว แล้วข้อมูลที่พวกนี้เอามาก็ให้ถามหาแหล่งอ้างอิงเหอะครับจะรู้ว่าไม่มีอะไรมารับรองทั้งนั้น นอกจากเอามาจากผีเข้าทรงของลัทธิตัวเอง ..อ้อ..แล้วคนประเภทนี้จะไม่เอาตัวจริงมนาคุยเพราะกลัวจะเสียหน้าเวลาคนอื่นจับได้ว่า มั่ว โง่ ไรงี้

6. มาปกป้องลัทธิหรือขอให้หยุดเปิดโปงลัทธิ ทั้งที่ทราบว่าตัวเองก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาเปิดโปงความมั่วของลัทธิตัวเอง คือต้องการให้หยุดเปิดโปงนั่นเอง 

7. เข้ามาเขียนโศลก คำกลอน สำบัดสำนวนแบบภาษาลิเก เพื่อให้ดูมีภูมิสูงมีธรรมมะสูงแต่ก็อาจแฝงไว้ด้วยการส่อเสียด สำนวนที่แต่งขึ้นก็ไม่ได้มีสาระอะไร ไม่ได้อธิบายอะไรได้ ไม่ตรงประเด็น และบางทีอาจไม่ตอบใครทั้งนั้น เพียงแค่ต้องการโชว์สำนวนนวนให้ดูเป็นผู้ดีมีธรรมมะเป็นหน้ากากบังหน้าเท่านั้น

8. พวกมา แถ อย่างเดียว แถ แบบไม่อายใคร แถ มั่วไปสุดขอบโลก คือไม่อะไรจะพูดจะแก้ตัวอะไรได้แล้วแต่ขอแถให้สะใจซะหน่อย

9. พวกมาทิ้งปริศนาธรรมไว้..พวกนี้จะมาแบบนินจานะมาเร็วไปเร็ว เข้ามาแล้วก็ทิ้งคำพูดปริศนาไว้สั้น ๆ ทำเป็นโชว์ภูมิเหมือนสูงส่งแต่ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกนี้มาแล้วจะรีบหนีทันทีเพราะกลัวพูดมากแล้วจะดูโง่แล้วก็กลัวการสนทนาด้วยข้อมูลที่แท้จริงเพราะพวกนี้ไม่มีความรู้อะไรเลย

10.พวกมาตอดนิดตอดหน่อย คือทำไรไม่ได้แต่ขอนิดนึงขอฝากประโยคสั้น ๆ ไว้แล้วก็รีบหนีไป..อาจจะหายไปเลย หรืออาจจะคอยมาตอดเรื่อย ๆ นะมาแบบพอให้รำคาญแต่ไม่มีไรมาก

11. ข้อนี้ี้ยอดฮิตคือ..ห้ามไม่ให้เปิดความลับสวรรค์ ..ซึ่งก็จะมีการห้ามด้วยอารมณ์แตกต่างกันไปทั้งขอร้องทั้งข่มขู่..ผมจะเปิดกะลาบอกให้เอาบุญไอ้ความลับประตูนิพพานตรงดั้งจมูก คาถา.อู๋ไท่ฝอหมีเล่อ..และท่ามือกราบใต้ตมนั่นน่ะเลิกคิดได้แล้วว่ามันเป็นความลับเพราะเขารู้กันจะครึ่งโลกแล้วคนจากต่างประเทศเขาก็ยังเข้ามาดูเหมือนกัน แค่เปิด google ความลับสวรรค์พวกคุณก็จะแสดงขึ้นมานับไม่ถ้วน แล้วความลับนี้เขาเปิดโปงกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่ประเทศจีีนเขาสั่งกวาดล้างลัทธินี้ก็มีการเปิดเผยเรื่องนี้ไปทั่วประเทศแถมประเทศจีนเขาทำภาพยนต์เปิดโปงลัทธิอนุตตรธรรมด้วยซ้ำไปดูหนังบ้างนะตอนจบโดนประหารตายอย่างกับหมาประชาชนก็โห่ไล่ด่าไม่เลี้ยง ..เพราะฉะนั้นลัทธินี้โผล่หน้าออกมาจากกะลาแลนด์ได้แล้ว

12.เข้ามามั่วโดยตรง พวกนี้แต่งพระสูตรเองได้นะจ๊ะแต่งตำราใหม่ได้แถมจับโน่นโยงมานี่จับนี่ใส่นั่นมั่วไปหมดสุดท้ายไม่มีสาระสักอย่าง

13. พวกเอาโอวาทผีเปรตมาอวดอ้าง..ไอ้โอวาทผีเปรตที่เข้าทรงกันในลัทธินั่นน่ะไม่มีใครอยากฟังหรอกครับและมันก็ใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย..

14. ชอบมาแอบอ้างบุคคลสำคัญต่าง ๆ ว่าเป็นสาวกลัทธิตัวเอง พวกนี้แอบอ้างตั้งแต่พระพุทธเจ้าและศาสดาต่าง ๆ ว่าเป็นสาวกลัทธิตัวเอง และแอบอ้างบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จนกระทั่งแอบอ้างบุคคลสำคัญในโลกและในประเทศนี่ แอบอ้างบุคคลชั้นสูงคนต่าง ๆ แบบไม่กลัวกฏหมาย

15.พวกเข้ามาให้กำลังใจสาวกด้วยกันเอง..เพราะคงเห็นว่าสาวกด้วยกันโดนจับได้ซะแล้วว่ามั่วก็ต้องงัดไม้ตายบอกพวกเดียวกันว่า ............................อย่าไปสนใจเขาเลยอาวุโส ปล่อยเขาไปเถอะสักวันเขาต้องรับกรรมที่ขัดขวางงานเบื้องบนขอให้เราตั้งใจบำเพ็ญฟันฝ่ามารทั้งหลายไปให้ได้มรรคผลรออยู่ ?.................ประมาณนี้นะ ! แล้วมันก็จะปลอบใจกันเองในลัทธิต่อไป เอิ้ก เอิ้ก 

สรุป 
ทั้งหมดนะครับพออธิบายอะไรไม่ได้แล้วก็จะเหลือ สองพวกคือ พวกด่า กับ พวกคร่ำครวญ...ส่วนประเภทอื่นพอถูกซักไซ้ถามเข้าก็ตอบอะไรไม่ได้ ก็เลือกเงียบดีกว่าเพราะดูเป็นธรรมมะดี ดูอุเบกขา ดูว่ามีหน้ากากผู้ดีบังหน้า แต่ความจริงก็ไม่ไช่อย่างนั้นหรอกครับ ความจริงคือพวกนี้ไม่มีอะไรจะตอบ ไม่มีอะไรอธิบายได้ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวได้ต่างหาก 

ตั้งแต่ผมถามพวกนี้มายังไม่เคยมีใครที่จะอธิบายลัทธิให้กระจ่างได้เลยแม้แต่คนเดียว ย้ำ แม้แต่คนเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มุสลิมตอบคำถามลัทธิอนุตตรธรรม



คุยกับมุรีด
คำถามที่ : 4051
คำถาม : ลัทธิอนุตรธรรมมารศาสนา
ข้อความนี้ได้นำมาจากบอร์ดพันทิพย์ซึ่งเป็นความรู้เล็กๆน้อยๆที่จะให้เข้าใจเกี่ยวกับลัทธิอนุตรธรรม

ลัทธิอนุตรธรรมได้ใช้วิธีการต่างๆที่จะนำผู้คนจากทุกๆศาสนามาเป็นพวกของตน และได้บอกว่า พระศาสดาทุกศาสดาคือ พระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ได้รับโองการมาจากพระแม่องค์ธรรม หรือ พระเจ้า มาโปรดมนุษย์ แต่ปัจจุบันนี้คำสอนของศาสดาท่านต่างๆ ไม่สามารถที่จะนำผู้คนกลับสู่แดนนิพพานได้ อีกอย่างโดยอ้างว่าอนุตรธรรมคือ วิถีที่พระอนุตรธรรมมารดา หรือ พระเจ้า ช่วยฉุดช่วยสาธุชนให้พ้นจากการเวียนวายตายเกิดและกลับสู่แดนนิพพาน

1.กลุ่มนี้อ้างว่าพระพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้ปรินิพพานเป็นเพราะได้รับการเปิดจุดญาณทวาร (ระหว่างใต้คิ้ว)

2.กลุ่มนี้ใช้พระคำ "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครไปถึงพระบิดาได้โดยไม่ผ่านเรา" (โยฮัน 14:6) อ้างว่า พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาท่านหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากพระอนุตรธรรมมารดาให้มาโปรดชาวโลกเพื่อให้กลับสู่แดนนิพพาน ซึ่งขัดต่อคำสอนของคริสเตียน เพราะคริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้าที่มาไถ่มนุษย์โลกนี้จากความบาปผิด

3.กลุ่มนี้มีการให้โอวาทจากสิ่งศักสิทธิ์ผ่านร่างทรงซึ่งเป็นหญิงพรหมจรรย์ ซึ่งขัดต่อคำสอนของคริสเตียนในเรื่องของพวกร่างทรง จากพระคำ "อย่าไปหาคนทรงหรือพ่อมดแม่มดอย่าเที่ยวค้นหาให้ตนมลทินไปเพราะเขาเลยเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า" เลวีนิติ 19:31

4.กลุ่มนี้มีการกราบไหว้รูปเคารพซึ่งขัดต่อคำสอนของคริสเตียน และ อิสลาม
"อย่าให้ผู้ใดกลับนับถือรูปเคารพหรือหล่อพระไว้เป็นรูปเคารพสำหรับตนเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า.. " (เลวีนิติ 19:4)
"แท้จริงพวกท่านบูชารูปปั้นอื่นจากอัลลอฮ์และพวกท่านกุการมุสาขึ้น แท้จริงบรรดาที่พวกท่านบูชาอื่นจากอัลลอฮ์นั้น มันไม่มีอำนาจที่จะให้เครื่องยังชีพแก่พวกท่าน ดังนั้นจงขอเครื่องยังชีพจากอัลลอฮ์เถิดและจงเคารพภักดีพระองค์และจงขอบคุณต่อพระองค์ยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป" ( ซูเราะฮฺ อัลอังกะบูต อายะหฺ17)

5.กลุ่มลัทธิอนุตรธรรมได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนมาจากแดนนิพพานซึ่งขัดกันอย่างเห็นได้ชัดเพราะนิพพานไม่ใช่ดินแดน แต่นิพพานปรมัตถ์เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ จิต เจตสิก รูป จึงไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๔๔ หน้าที่ ๗๑๑
๑. ปฐมนิพพานสูตร ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
[๑๕๘> ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน
น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์
และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น
ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ 719

๒. ทุติยนิพพานสูตร ว่าด้วยฐานะที่เห็นได้ยาก คือนิพพาน
[๑๕๙> ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยาก ชื่อว่านิพพาน ไม่มีตัณหา นิพพานนั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้รู้ ผู้เห็นอยู่.
จบทุติยนิพพานสูตรที่ ๒

6.ลัทธิอนุตรธรรมมีการสอนธรรมะแก่ผู้เข้าร่วมกลุ่มโดยร่างทรง ซึ่งบางครั้งมีพระพุทธเจ้ามาประทับทรงซึ่งขัดกับความจริงเนื่องจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
-ขอให้เรามารู้จัก คำว่า"นิพพาน"กันนะครับ
"สภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก มี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงประจักษ์ลักษณะของ นิพพานก็ทรงดับกิเลสไม่ได้ ขณะนี้ทุกคนมีจิต มีเจตสิก และมีรูป เมื่ออบรมเจริญปัญญาก็จะเห็นความเหนียวแน่นของกิเลสเพราะแม้ว่าสภาพธรรมที่มิใช่ตัวตนเป็นแต่เพียงนามธรรมหรือรูปธรรมจะปรากฏ เมื่อสติระลึกสังเกต พิจารณาบ่อย ๆ เนือง ๆ จากชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่งก็ยังดับกิเลสไม่ได้ จนกว่าปัญญาจะอบรมเจริญคมกล้าถึงขั้น ประจักษ์แจ้งพระนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ที่เป็นวิสังขารธรรม

พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดขึ้น นอกจากพระนิพพานแล้วไม่มีสภาพธรรมใดดับกิเลสได้เลย เพราะสิ่งใดที่เกิดขึ้นปรากฏ สิ่งนั้นเป็นที่พอใจของโลภะความต้องการได้ทั้งนั้น เมื่อนิพพานเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่เกิดขึ้น โลภะจึงยินดีพอใจในนิพพานไม่ได้ โลภะ ความยินดีพอใจมีอยู่ตราบใด ก็เป็นปัจจัย เป็นสมุทัย คือเหตุที่จะให้มีภพชาติอยู่ตราบนั้น พระนิพพานเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และเป็นสภาพธรรมอย่างเดียวที่ดับกิเลสได้

ฉะนั้นถ้าพูดว่านิพพานเป็นสถานที่ นิพพานก็จะต้องเกิดขึ้นจึงจะเป็นสถานที่ได้ แต่นิพพานธาตุ เป็น อสังขตธาตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดดับ นิพพานเป็นธาตุที่ดับกิเลส สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้นจะพ้นไปจากจิต เจตสิก รูปไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง ๆ สิ่งนั้นไม่ใช่นิพพาน ต้องเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง"

7.ในพระศาสนาคริสต์ อิสลาม ไม่มีความเชื่อเรื่องเวียนวายตายเกิดและพระศาสดาทั้งสองพระองค์ไม่ทรงสอนเรื่องการเวียนวายตายเกิดเห็นได้ชัดว่า อนุตรธรรมไม่ใช่รากฐานของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า ขงจื้อ และอนุตรธรรมไม่ใช่วิถีที่พระเจ้า หรือ พระแม่องค์ธรรมประทานสู่มวลมนุษย์

นี้เป็นเว็บลัทธิอนุตรธรรม http://www.vithi.com

ที่มา 
http://www.mureed.com/mr_talk/bview.asp?id=4051

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คำสอนเรื่องกินเจ



หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนเรื่องการกินเจ 

เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น กลฺยาณธมฺโม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่
คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ  แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก

พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว

ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลสจบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอกวัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้า เต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา

ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า

ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ว่า กินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน

คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรอง ๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก"

... เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่า เหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผล ที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความาจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป

ที่มา : จากประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง

--------------------------------------------------------

พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม

ถาม : นอกจากการห้ามฆ่าสัตว์แล้วทำไมไม่ห้ามกินสัตว์ด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเป็นการสนับสนุน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สั่งเขา อย่างไรเขาก็ทำอยู่แล้ว ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่ห้าม ? เพราะว่า คนไม่ใช่สัตว์กินพืช อย่างไรส่วนของเนื้อยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าให้เป็น ปวัตตะมังสะ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาค้าขายกันทั่วไป ถ้าเป็น อุทิสมังสะ ไปเจาะจงสั่งเมื่อไรก็เฮงเมื่อนั้น

เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวเราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เมืองเราทั้งเมืองไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..คุณไม่สามารถจะแก้ไขการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างกรรมให้น้อยที่สุดได้ 

หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์ รอจนกระทั่งสัตว์ตายก่อนถึงจะเอามาเป็นอาหาร แต่พอตอนหลังพวกอิสลามเข้าไปอยู่ในทิเบตจึงมีการฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็ไปเอาเนื้อที่เขาฆ่าแล้วมากินได้


ที่มา> (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
--------------------------------------------------------
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เนื่องในโอกาสกินเจ

***เรื่องกิน
กระผมได้ปฏิบัติทางจิตมานาน ก็พอมีความสงบอยู่บ้างแต่มีปัญหาทางอาหารบริโภคเนื้อสัตว์ คือ เพียงแต่เห็นก็นึกเวทนาไปถึงเจ้าของเนื้อนั้น ว่าเขาต้องสูญเสียชีวิตเพื่อเราผู้บริโภคแท้ ๆคล้ายกับว่าเราผู้ปฏิบัติจะขาดเมตตามากไป เมื่อเกิดความกังวลใจเช่นนี้ ก็ทำความสงบใจได้ยาก ฯ

หลวงปู่ว่า
"ภิกษุจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์ คล้ายเป็นการเบียดเบียนและขาดเมตตาต่อสัตว์ ก็ให้งดเว้นการฉันเนื้อเสีย พากันฉันอาหารเจต่อไป"

--------------------------------------------------------------------------------

***เรื่องกินมีอีก
สมัยต่อมาประมาณสี่เดือน ภิกษุกลุ่มนั้นมากราบเรียนหลวงปู่อีกหลังจากออกพรรษาแล้ว บอกว่าพวกกระผมฉันเจมาตลอดพรรษาด้วยความยากลำบากยิ่ง เพราะญาติโยมแถวบ้านโคกกลางอำเภอปราสาทนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องอาหารเจเลย ลำบากด้วยการแสวงหาและลำบากแก่ญาติโยมผู้อุปัฏฐาก บางรูปถึงสุขภาพไม่ดี บางรูปเกือบไม่พ้น พรรษา การทำความเพียรก็ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ฯ


หลวงปู่ว่า
"ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าอาหารที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้านี้แม้จะมีผักบ้าง เนื้อบ้างปลาบ้าง ข้าวสุกบ้าง แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน และเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว ญาติโยมเขาก็ถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ก็พึงบริโภคอาหารนั้นไป ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน"

--------------------------------------------------------------------------------

***เรื่องกินยังไม่จบ...?
เมื่อวันแรม 2 ค่ำเดือน 3 พ.ศ. 2522 หลวงปู่พักอยู่ที่วัดป่าประโคนชัย เวลา 2 ทุ่มผ่านไปแล้ว มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชอบเดินธุดงค์ไปตามที่ชุมนุมต่างๆ ได้แวะเข้าไปพักที่วัดป่านั้นด้วย ฯหลังจากแสดงความคารวะตามสมณวิสัยแล้ว ก็กล่าวถึงจุดเด่นที่เขายึดถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ผู้บริโภคเนื้อสัตว์คือผู้สนับสนุนให้คนฆ่าสัตว์ ผู้บริโภคผักมีจิตเมตตาสูง สามารถพิสูจน์ได้ว่า เมื่อหันไปบริโภคผักแล้ว จิตใจสงบเย็นดีขึ้น ฯ

หลวงปู่ว่า
"ดีทีเดียวแหละ ท่านผู้ใดสามารถฉันมังสวิรัติได้ก็เป็นการดีมากขออนุโมทนาสาธุด้วย ส่วนท่านที่ยังฉันมังสะอยู่ หากมังสะเหล่านั้นเป็น ของบริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาเจาะจง ได้มาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่ผิดธรรมผิดวินัยแต่อย่างใด
อนึ่งที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดขึ้นจากพลังการตั้งใจปฏิบัติให้ ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่อาหารเก่า ที่อยู่ในท้องเลย"



สรุปคือ....การจะกินเนื้อหรือกินเจ ก็ไม่มีผลอะไรกับการปฏิบัติภาวนา

--------------------------------------------------------

หลวงปู่ชา สุภัทโท

หลวงปู่ชาเทศน์เรื่องกินเจ

กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก" 
พระโพธิญาณเถร(หลวงพ่อชา สุภัทโท)วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชาเกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไรอย่างไหนถูก อย่างไหนผิด
เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วมเพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัตว์ ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด

บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไปจนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิดในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้

***หลวงปู่ชาตอบว่า

“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ 
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน

ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง 

ให้รู้จักประมาณในการบริโภคไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไรไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว 

ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา

ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ 
ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง 
นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา 
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน 

การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา 
เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน 

มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ 
อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก” 

“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ

คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง 
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน 

ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง 
เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ 
อย่าให้คิดอยูในการกระทำภายนอก 

พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน 
องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป 
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป 
แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย 
อาตมาสอนอย่างนี้
ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร 

ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา 
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา 
ถ้าเราสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ 
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น 
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น”

(คัดลอกบางตอนมาจาก “ใต้ร่มโพธิญาณ” ใน ข่าวสารกัลยาณธรรม
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ , หน้า ๕๔-๕๕)


--------------------------------------------------------


หลวงปู่แหวนเทศน์เรื่องกินเ

..ธรรมะวันพระแรก..ของเทศกาลถือศีลกินเจ...
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า "การ เจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้นถึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ การตัดกิเลสตัณหาต้องใช้พระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานมีให้เลือกตั้งสี่สิบกอง" 

ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉันเจ ฝ่ายหลวงปู่ท่านตอบว่า
"ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ากิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง แต่ถ้าจะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหายังเต็มหัวมันอยู่"

ท่าน ดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้ แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรก

ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาสดาแล้วตั้งโกหัญญกรรม ๕ ประการคือ
๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑบาตให้ทิ้งให้หมด
๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้าเนื้อเลว ตลอดชีวิต ผ้าเนื้อดีเผาทิ้งให้หมด
๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้านนอน ตลอดชีวิต
๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิต

พระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า "ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา" ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลาง พระเทวทัตจึงโจทก์โทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า คนที่มีปัญญาบารมีน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง แล้วท้ายที่สุด พระเทวทัตก็โดนธรณีสูบ ไหม้อยู่ที่อเวจีมหานรก..


--------------------------------------------------------

ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 

ผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? " 
หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? " 

ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า " 
หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย " 

ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! " 
หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ " 

ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า " 
หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า 

"เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ" 
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม" 

เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ " 

ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? " 
หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ... 
ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน 

ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ 

๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน 

๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ 

๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ 

๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ 

๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ 

เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 

"ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า 
ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน 
ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต 
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล 
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้ 
เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้ 

เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ 
๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า 
๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ 
๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค 

พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า 

"ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส" 

จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ 

๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ 
๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ 
๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ 
๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ 
๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ 

ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ 

เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... " 

ผู้ถาม : " กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? " 
หลวงพ่อ : " อานิสงส์ปัจจุบัน คือ 
๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว 
๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย 

... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย " 

ผู้ถาม : " อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... " 
หลวงพ่อ : " ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า 
"เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์" 

หลวงปู่แหวนท่านบอก 

"วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว" 

ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ 
๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง 
๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง 
เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน " 



ผู้ถาม : " คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? " 

หลวงพ่อ : " อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป " 

ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ " 
หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น 

๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น 
๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน 
๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น "


--------------------------------------------------------


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
การรับประทานมังสวิรัติดีหรือไม่

การปฏิบัติงดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์นี้เป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขอสนับสนุน  แต่ปัญหาสำคัญว่าผู้ปฏิบัติแล้วอย่าเอาความดีที่เราปฏิบัติไปเที่ยวข่มขู่คนอื่น การปฏิบัติอันใดปฏิบัติแล้วอย่าถือว่าข้อวัตรปฏิบัติของตนดีวิเศษแล้วเที่ยวไปข่มขู่คนอื่นนั้น มันกลายเป็นบาป เป็นฉายาแห่งมุสาวาท ไม่ควรทำ
ที่มา...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม (ธรรมปฏิบัติ)


--------------------------------------------------------

http://www.youtube.com/watch?v=xOrVcAsm1dg
กินเจแก้กรรมได้หรือไม่
อาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง

-------------------------------------------------------


มังสวิรัติ ฤาจะเป็นกับดักแห่งอาหาร 

ก่อนไปลงไปถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ผมอยากขอยืนยันตรงนี้ก่อนครับว่า โดยหลักการแล้วผมเห็นด้วยกับการกินมังสวิรัติให้มาก กินสัตว์ใหญ่ให้น้อยที่สุดหรือไม่กินเลยเท่าที่เป็นไปได้ หากจำเป็นก็กินสัตว์ที่เล็กหรือกุ้ง หอย ปู ปลา เท่าที่เป็นไปได้แทน 

ในแง่ของงานวิจัยด้านสุขภาพใหม่ๆ รวมทั้งโครงการในด้านธรรมชาติบำบัดเกือบทุกโครงการ เห็นพ้องต้องกันว่า อาหารที่เหมาะสมและเป็นผลดีกับสุขภาพนั้นจะต้องเป็นอาหารแนวมังสวิรัติ โครงการของคุณหมอดีน ออร์นิสอนุญาตให้คนไข้โรคหัวใจขาดเลือดของเขากินไขมันได้ไม่เกิน 10% และไม่อนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดยกเว้นปลา ในขณะที่สมาคมแพทย์โรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้กินไขมันได้ถึง 30% ผลการรักษาของคนไข้ในโครงการของคุณหมอดีน ออร์นิสได้ผลดีมากและมีคนไข้จำนวนมากที่เส้นเลือดหัวใจกลับมาขยายได้หลังจากที่เคยมีการอุดตันจากไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องทำบอลลูน ทั้งนี้ใช้ร่วมกับยาสมัยใหม่เท่าที่จำเป็นใช้ร่วมกับการทำความเข้าใจกับ “จิตใจ” ของตัวเองในเรื่องความเครียดด้วย งานวิจัยยาวนานถึง 25ปีของคุณหมอวิลค็อกและคณะที่ทำการศึกษาชาวโอกินาวาทางตอนใต้ของญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกพบว่า อาหารของชาวโอกินาวาเป็นแนวมังสวิรัติและชีวิตโดยรวมๆ ของชาวโอกินาวามีความเครียดน้อย คุณหมอจาคอบจากอินเดียแนะนำเรื่องผลไม้มื้อเย็นและควรมีช่วงอดอาหารในบางวัน ไม่ควรกินอาหารหลังสองทุ่ม คุณหมอเดวิด ไซมอน คุณหมอแอนดรู วีล คุณหมอดีปัค โชปรา และอื่นๆ อีกมากมายที่มีประสบการณ์จริงกับคนไข้ ล้วนมีความเห็นในทำนองเดียวกันนี้ 

อย่างไรก็ตาม ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ “บูชาเจ” อย่างสุดขั้ว โดยไม่ได้เห็นภาพรวมแบบกว้างว่าเราทำอย่างนั้นเพื่ออะไร หากแต่การคิดแบบสุดขั้วในเรื่องอาหารนั้น ส่อแสดงให้เห็นถึง “มุมมองชีวิต” ที่แคบ ยึดติดและไม่เรียนรู้ มุมมองชีวิตแบบหลังนี้ไม่น่าจะเป็นหนทางแห่งความสุขที่แท้ได้เลย 

ผมยกประเด็นง่ายๆ โดยเริ่มในเรื่องของชนิดของอาหารที่กินเลยว่า หากเราคิดว่า การที่เราไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจผิดพลาดอะไรหรือไม่ 

เป็นทำนองว่าฆ่ามดไม่บาป ฆ่าคนถึงจะบาป ? 

เพราะในแง่นี้ ถ้าเราดูดีๆ เราก็จะพบว่า นักมังสวิรัติก็เป็นผู้เบียดเบียนชีวิตเช่นกัน เพราะพืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ภายในพืชก็เป็นกระบวนการที่นำพลังงานจากแสงอาทิตย์นำสารอาหารจากพื้นดินมาสร้างมาสังเคราะห์เป็นตัวพืช เหล่านี้แสดงอย่างชัดเจนว่าพืชมีชีวิต ทั้งยังมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกเหมือนกัน และมีการดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่เหมือนกันกับสัตว์ 

เสือ, สิงห์โตนั้นเป็นสัตว์ที่ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นสัตว์กินเนื้อ ก็มันกินพืชไม่เป็นนี่นา จะให้มันทำอย่างไร เพราะฉะนั้นทุกวันที่มันกินอาหารนั้นเป็นการสร้างบาปของมันหรือ? ส่วนกวาง, กระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่ถูกสร้างให้มากินพืช ในเวลาเดียวกันมันก็ถูกกำหนดให้เป็นอาหารของสัตว์ที่กินเนื้อ ตามกลไกของความเป็นห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ และมันก็ “ทำบาป” ไม่เป็นเสียด้วยเพราะมันกินเนื้อไม่เป็นเท่านั้นหรือ อย่าลืมว่ามันก็เบียดเบียนพืชเหมือนกัน ไม่เชื่อลองปล่อยกระต่ายสักฝูงเข้าไปในแปลงผักที่เราปลูกไว้สิครับ 

อย่าลืมนะครับว่า ทั้งเสือและสิงห์โต นั้น โดยธรรมชาติแห่งความเป็นปกติของมันนั้น มันจะไม่ฆ่า มันจะไม่ล่า หากว่ามันไม่หิว หากว่าไม่ได้ต้องการอาหารเพื่อความอยู่รอด หากเรามองในแง่ของ สิ่งที่ต้องเป็นไปเช่นนี้ เสือและสิงห์โตยังเป็นสัตว์ที่ทำแต่บาปอยู่ทุกวันหรือไม่ 

มนุษย์ต่างหากที่เป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่เน้นการสะสม และบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เฉพาะแต่ในเรื่องการกินเท่านั้นเกินกว่าที่จะจำเป็นต้องใช้ ซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหาและเกิดปัญหากับมนุษย์เองด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ ชาวอเมริกันเพียงประเทศเดียวซึ่งมีพลเมืองเพียงประมาณไม่ถึง 6 % ของพลเมืองโลก แต่กลับใช้และบริโภคทรัพยากรเกือบ 60% ของโลก ในขณะเดียวกันกับที่จะมีคนจากอีกซีกโลกตายเพราะไม่มีอาหารจะกินมากถึงวันละ 30,000-40,000 คน 

ผมคิดว่า ในเรื่องของการกินอาหารนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ “ชนิดของอาหาร” เป็นหลัก หากแต่อยู่ที่ “จิตสำนึก” ในการกินอาหารมากกว่า หากเรากินอาหารด้วยมุมมองที่มีความรู้เท่าทันตั้งแต่ในขณะที่เตรียมอาหาร การเคี้ยวอาหาร การกลืนอาหาร ไปจนจบกระบวนการกินอาหารทั้งหมด เราก็จะค่อยๆ เข้าใจ เรียนรู้และสามารถเลือกอาหารที่เหมาะสมกับร่างกายของเราได้ อย่างที่ไม่มีสูตรตายตัว 

ผมไม่เถียงว่านักปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่หลายคนเป็นนักมังสวิรัติแต่ผมไม่คิดว่านักมังสวิรัติเหล่านั้นเป็น “นักมังสวิรัติแบบภายนอก” ในทางตรงกันข้ามนักปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกหลายคนรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วยก็ไม่ได้เป็นนักมังสวิรัติ และท่านเหล่านี้กลับเป็น “นักไม่มังสวิรัติแบบภายใน” แต่ให้ความสำคัญกับ “แก่น” ของการกินอาหารอย่าง “รู้เท่าทัน” กระบวนการทั้งหมดมากกว่าที่จะมัวติดอยู่กับ “เปลือก” ภายนอก ที่เป็นเสมือนหนึ่ง “กับดักทางจิตวิญญาณ” 

ผมเข้าใจและทราบดีว่า การที่นักปฏิบัติธรรมหลายท่านอาจจะพยายามยกเรื่องการไม่เบียดเบียนชีวิต มาใช้ในเรื่องของการกินอาหารนั้น เป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คนบางกลุ่มได้ปฏิบัติตัว ช่วยกล่อมเกลาให้ชีวิตมี “ความอ่อนโยน” มี “เมตตาธรรม” มากขึ้นจริง หากแต่ชีวิตของคนเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าสู่ “ความอ่อนโยน” ที่แท้จริงได้เลย หากไม่มีมุมมองที่กว้างขึ้น, ยึดติดและไม่เรียนรู้ 

ในเส้นทางของชีวิตและมุมมองนั้น มันมี “กับดัก” มากมายเสียเหลือเกิน หากใครหลุดเข้าไปใน “กับดัก” แห่งความคิดเหล่านั้น ก็จะเสียโอกาสในเรื่องของพัฒนาการในด้านจิตวิญญาณที่จะหยุดนิ่งในกับดักเหล่านั้น กับดักแห่งการยึดติดนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ หากเราไม่หมั่นทบทวนตัวเอง หากเราไม่มี “สังฆะ” ไม่มีกัลยาณมิตรหรือความเป็นกลุ่มเป็นชุมชนที่คอยตักเตือนคอยร่วมกันทบทวนความคิด 

หากพวกเรามีความเข้าใจในเรื่องของกับดักแห่งการยึดติดนี้ เราก็คงจะไม่มีปัญหาในเรื่องที่จะคิดที่จะเข้าใจในเรื่องอื่นๆ อีกมากมายทั้งในแง่สุขภาพและในแง่อื่นๆ เป็นต้นว่า เราก็จะมีความเข้าใจได้เองว่า น้ำลูกยอ, หญ้าปักกิ่งหรือสาหร่ายสารพัดชนิดนั้นเป็นอย่างไร เราก็จะมีความเข้าใจว่าเราควรจะเต้นแอโรบิคหรือไม่ หรือเราเต้นแอโรบิคไปเพื่ออะไร และในที่สุดเราก็จะมีความเข้าใจเองว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ไม่ไปเป็น “สาวก” ของน้ำลูกยอ สาวกของหญ้าปักกิ่ง สาวกของสาหร่าย สาวกของแอโรบิคและอื่นๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา อย่างไรก็ตาม “การตกลงไปในกับดัก” ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากว่ารู้ตัวและตื่นที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมพรางเหล่านั้น 

และในที่สุดขอเรียนว่าจุดประสงค์ของบทความนี้ คงไม่ใช่เพื่อ “ติ” หากแต่เพื่อต้องการ “การกระตุ้น” ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นจากเดิมที่ดีอยู่แล้วจากการที่คนส่วนหนึ่งหันมานิยมบริโภคอาหารในแนวของมังสวิรัติ 


บรรณานุกรม 
นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ คอลัมน์จับจิตด้วยใจ เรื่อง “มังสวิรัติ ฤาจะเป็นกับดักแห่งอาหาร” 
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2546

--------------------------------------------------------