ว่าด้วยพุทธเกษตรและอนุตตรธรรม
เขียนโดย...มหาวัด
____________________________
ข้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือลัทธิอนุตตรธรรมเรื่อง
หลี่เซียนเป่าบรรยายถึงความแยบยลของอนุตตรธรรม..ได้กล่าวไว้ดังนี้ >>
พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ได้เตือนข้าพเจ้าอีกว่าขณะนี้ฟ้าดินคับขันมาก ต้องบำเพ็ญและเสียสละออกมาทำงานธรรมะเพราะเสียเวลามามากแล้วถ้ายัง ชักช้าอยู่ก็จะไม่ทันการณ์พระโพธิสัตว์กวนอิมได้เตือนข้าพเจ้าประมาณ 10 ครั้งแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีความกล้าที่จะก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียวจน กระทั่งพระโพธิสัตว์กวนอิมได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวแดนนิพพานได้พบเห็นดอกบัวสวยงามมากมายเต็มไปหมดมีทั้งดอกใหญ่ ดอกเล็กดอกแห้ง ดอกเหี่ยว ข้าพเจ้าจึงได้พูดกับ พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า ดอกบัวดอกนั้นสวยจังเลย ข้าพเจ้าอยากได้ดอกบัวนั้นจังเลย พระโพธิสัตว์กวนอิมพูดว่า “ดอกบัว ดอกนั้นไม่ใช่ของเธอกวนอิมจะพาเธอไปดูดอกบัวของเธอเอง” เมื่อเห็นดอกบัว ที่พระโพธิสัตว์กวนอิมบอกว่าเป็นดอกบัวของข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นมาว่า “อุ๊ย”ทำไมไม่สวยเลย (ดอกบัวทุกดอกนั้นจะมีรูปติดและมีชื่อของแต่ละคนติดจะไม่มีผิดพลาดเลย) ทำไมถึงเป็นอย่างนี้” พระโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายให้ฟังว่า ทุกคนที่รับธรรมะแล้วที่บนนิพพานก็จะมีดอกบัวของแต่ละคนอยู่ถ้าหาก ว่ารู้จักโปรดคนมารับธรรมะ หรือใช้ทรัพย์เป็นทาน และแรงกายเป็นทาน กุศลนั้นก็เปรียบเหมือนกับน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นกับดอกบัวหากว่าสร้างกุศล มากน้ำก็มากดอกบัวก็สวยสดงดงามถ้าหากไม่เคยได้สร้างบุญกุศล เลยดอกบัวก็จะเหี่ยวแห้ง หรือว่ารับธรรมะแล้วไม่เคยไปฟังธรรมะในห้อง พระเลยก็เท่ากับไม่มีน้ำของกุศลมารดดอกบัวพอนานไปๆดอกบัว ก็จะแห้งเหี่ยวไปเลยช่างน่าเสียดายจริงๆ เมื่อรับธรรมะอันสูงส่งแล้วไม่รู้จักรักษาบุญวาระก็เปรียบเหมือนกับเป็น ผู้ที่มีบุญแต่ไม่มีวาสนามีโอกาสรับธรรมะ แต่ไม่มีโอกาสบำเพ็ญควรรู้จัก ละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณของฟ้าเบื้องบน
__________________________________
อธิบายตามหลักพุทธศาสนาแนวมหายาน >> เรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้อธิบายไปแล้วว่า นิพพานไม่ใช่ดินแดนอะไร? ดังนั้นขอให้เราชาวพุทธแยกให้ออกว่า พุทธเกษตร ตามคติพุทธศาสนา กับ นิพพานเป็นคนล่ะสิ่งกันแต่ก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่พอๆๆกับที่เกี่ยวเนื่องกับสังสารวัฏ คล้ายๆๆกับว่า เป็นเหมือนมิติระหว่างสังสารวัฏและพระนิพพานนั้นเอง ตามคติของพระพุทธศาสนา มหายาน(บางนิกาย) นั้น เขาเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าองค์ต้นคือ พระอาทิพุทธเจ้า พระองค์ทรงถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมสากลจักรวาล พระองค์สามารถบันดาลให้เกิดพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆๆขึ้นมาได้ สองจำพวกคือ ธยานิพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแบบนี้จะเกิดจากญาณของพระอาทิพุทธเจ้าคล้ายๆๆการแบ่งภาค และประทับเป็นประธานสวรรค์ชั้นอรูปธาตุ ในรูปของสัมโภคกาย หรือกายทิพย์ มนุษิพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่อยู่ในกายเนื้อลงมาบนโลกเพื่อเกิดแก่เจ็บตายกับมนุษย์เพื่อแสดงให้สรรพสัตว์เห็นว่าการตรัสรู้เป็นไปได้จริง เช่น พระพุทธเจ้าศากยมุนี ส่วนพุทธเกษตรนั้นวัดประมาณไม่ได้ด้วยเครื่องมือใดๆๆ เป็นโลกธาตุอันบริสุทธิ์ ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เพื่อแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ และคติมหายาน ยังว่า มีพุทธเกษตรอยู่นับไม่ถ้วนทุกๆๆที่อีกด้วย เพราะพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายเท่ากับ เมล็ดทรายในคงคามหานที แต่พุทธเกษตรก็ยังไม่ใช่สถานที่ หรือ พุทธภูมิไม่ใช่สถานที่แต่ใช้คำว่าสถานที่เปรียบเพื่อให้เข้าใจได้ แต่ตามคติมหายาน(ซึ่งต่อมาก็มีผลต่อคติเถรวาทด้วย) พุทธเกษตรไม่ได้ครอบครองพื้นที่หรือเวลาในอวกาศ กล่าวก็คือเป็น เพียงผลมาจากภาวะจิตอันบริสุทธิ์ ที่พระพุทธเจ้าสามารถแผ่พระกำลังไปถึงได้โดยเป็นที่ซึ่งสัตว์จะไปอุบัติเพื่อบำเพ็ญบารมีและได้รับการสั่งสอนขัดเกลาโดยพระพุทธเจ้าต่อไป เพื่อจะได้หยั่งถึงพระนิพพานในภายภาคหน้าเมื่อเขาได้บรรลุธรรม ตัวอย่างพุทธเกษตรที่มีชื่อเสียงคือ สุขาวดี
ตามคติของมหายาน ผู้บังเกิดในพุทธเกษตร จะไม่ต้องมาเวียนว่ายอีกแต่จะบรรลุถึงภูมิธรรมในระดับสูงๆๆต่อไปจนถึงขั้นสูงสุดที่พุทธเกษตรนั้น โดยสัตว์จะอุบัติแบบ อุปปาติกะ ในดอกบัว ไม่มีเพศ วรรณะ โดยมีสามระดับ เก้ารูปแบบ ของสัตว์ตามแรงกรรม ดอกบัวที่เชขาอุบัติก็จะมีลักษณะที่ต่างกัน ระยะเวลาที่บานที่ต่างกัน(1-77วันหรือที่อกุศกรรมหนักมากๆๆแต่ก่อนตายมีจิตเป็นกุศลมุ่งสู่พุทธเกษตรก็จะเป็น 12 มหากัลป์) สัตว์จึ่งตื่นขึ้นมาไม่พร้อมกัน โดยเมื่อตื่นขึ้นสัตว์แต่ละแบบจะบรรลุได้เร็วช้าต่างกัน
"พระผู้มีพระภาครับสั่งกับพระอานนท์ว่า หมู่เทพและมนุษย์ทั้งปวงในทศทิศโลกธาตุ ผู้มีจิตแน่วแน่ตั้งปณิธานไปอุบัตที่โลกธาตุแห่งนั้นจักมีสามระดับชั้น ระดับสูงนั้นคือผู้สละเรือนละวางกามคุณแล้วออกบวชเป็นสมณะ บังเกิดโพธิจิต ระลึกถึงพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความตั้งมั่น บำเพ็ญกุศลทั้งปวง เพื่อขอไปอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้น หมู่สัตว์ประเภทนี้ เมื่อคราที่อายุขัยอวสานลง พระอมิตายุสพุทธเจ้าพร้อมด้วยอริยบริษัทจักมาปรากฏยังเบื้องหน้าผู้นั้นชั่วขณะเดียวจักติดตามพระอมิตายุสพุทธเจ้าไปอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้นทันที โดยกำเนิดแบบอุปปาติกะวิธีในปทุมชาติรัตนะเจ็ดประการ เป็นผู้มีปัญญาญาณแกล้วกล้า มีอิทธิพละเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้แหละอานนท์ บรรดาสรรพสัตว์ผู้ปรารถนาจักประสบพระอมิตายุสพุทธเจ้าในปัจจุบันชาติ พึงเกิดอนุตรสัมโพธิจิต ตั้งจิตระลึกถึงสุขาวตีโลกธาตุ สั่งสมกุศลมูลแล้วอุทิศไป ด้วยเหตุนี้จักยังให้พบพระพุทธองค์ ได้อุบัตที่โลกธาตุแห่งนั้น บรรลุถึงความมิเสื่อมถอยจนถึงพระอนุตรสัมโพธิ
ระดับกลางนั้น คือผู้แม้นมิสามารถประพฤติเยี่ยงสมณะ แต่บำเพ็ญกุศลมหาศาลและบังเกิดจิตแห่งพระอนุตรสัมโพธิ ระลึกถึงพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความตั้งมั่น บำเพ็ญกุศลความดีทั้งปวงตามกำลังแห่งตน สมาทานอุโบสถศีล สร้างพระสถูปและพระปฏิมา ถวายภัตแด่สมณะ ประดับธงทิวและดวงประทีป เกลี่ยมาลีและร่ำสุคนธา แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อขอไปอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้น อันบุคคลนี้เมื่อกาลมรณะมาถึง พระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจักปรากฏพระวรกายที่รุ่งเรืองด้วยรัศมีและมงคลลักษณะ สมบูรณ์ประดุจพระพุทธองค์จริง เสด็จพร้อมด้วยมหาบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมตลอดทั้งเบื้องหน้าแลเบื้องหลัง จักปรากฏให้เห็นอยู่เฉพาะบุคคลนั้น เพื่อมาอนุเคราะห์และนำพาไปอุบัติ ในครานั้นจักได้ตามพระพุทธนิรมิตไปอุบัตทิ โลกธาตุแห่งนั้นทันที จักมิเสื่อมถอยในพระอนุตรสัมโพธิ มีบุญญาธิการและปัญญาญาณประดุจผู้อุบัติในระดับสูง
สำหรับระดับล่างนั้น สมมติว่าบุคคลผู้มิอาจกระทำกุศลทั้งปวง พึงบังเกิดจิตแห่งพระอนุตรสัมโพธิ ระลึกถึงพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความตั้งมั่น มีศรัทธายินดี มิสงสัยเคลือบแคลง แล้วปณิธานขอไปอุบัตที่โลกธาตุแห่งนั้นด้วยจิตสัตย์ซื่อเป็นที่สุด บุคคลนี้เมื่อชีพใกล้ดับสูญ จักฝันเห็นพระอมิตายุสพุทธเจ้าพระองค์นั้นและไปอุบัติทันที มีบุญญาธิการและปัญญา
ญาณประดุจผู้อุบัติในระดับกลาง
หากหมู่สัตว์ที่ดำรงในมหาพุทธยาน แล้วใช้จิตที่บริสุทธ์ิมุ่งต่อพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนการระลึกถึงสิบขณะ เพื่อขอไปอุบัตที่โลกธาตุแห่งนั้นแล้วไซร้ เมื่อสดับคัมภีรธรรมอันแยบคายแล้ว ๓๗ จักบังเกิดศรัทธายิ่งยวด จนถึงมีจิตบริสุทธ์ิตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว มีเอกจิตระลึกถึงแต่พระอมิตายุสพุทธเจ้าพระองค์นั้น บุคคลผู้จักทำกาลกิริยานี้ จักได้ประสบพระอมิตายุสพุทธเจ้าดุจในความฝัน แล้วไปอุบัตที่โลกธาตุแห่งนั้นได้อย่างแม่นมั่น เป็นผู้บรรลุถึงความมิเสื่อมถอยจากพระอนุตรสัมโพธิ"
ต่อไปนี้จะบรรยายตามแบบของอมิตายุรธยานสูตร
ที่ได้ยกมาประกอบเข้ากับตำราของคุณสุมาลี มหณรงค์ชัยดังนี้
รูปแบบที่หนึ่ง เป็นรูปแบบของบุคคลที่มีคุณสมบัติสามประการนี้ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นคือ
ระดับแรก สำหรับผู้ที่มีจิตใจสูง มีจริตโน้มไปในทางโพธิสัตวยาน มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
1.ผู้ซึ่งมีจิตกรุณา ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า
2.ผู้ศึกษาและท่องพระสูตรมหายานฉบับต่างๆ
3.ผู้บำเพ็ญตนอยู่ในอนุสสติหกอยู่เสมอคือ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า(พุทธานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระธรรม(ธัมมานุสติ)ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์(สังฆานุสติ) ระลึกถึงคุณของศีล(สีลานุสติ)ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคไว้(จาคานุสติ)และระลึกถึงธรรมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นเทวดา(เทวตานุสติ)
บุคคลเหล่านี้สามารถอุบัติในแดนสุขาวดีได้ถ้าเพียงกระทำกิจเหล่านี้สำเร็จอย่างน้อยภายใน 1 ถึง 7 วันและอุทิศความดีงามทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการอุบัติในแดนสุขาวดีในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะพระอัครสาวกทั้งสองคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสตว์กับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์พร้อมด้วยเหล่าพระโพธิสัตว์ ภิกษุสาวกและเทวดานับร้อยพันจะเสด็จมารับด้วยพระองค์เองพวกเขาจะนิมิตเห็นภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นจากรัตนชาติทั้งเจ็ดพระอัครสาวกจะประทานบัลลังก์เพชรแก่พวกเขาส่วนพระอมิตาภะจะฉายรัศมีอันวิจิตรไปทั่วร่างกายที่กำลังแตกดับของพวกเขาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะกล่าวคำสรรเสริญคุณธรรมของพวกเขา เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจะเกิดปิติเป็นอย่างยิ่งและในบัดดลก็จะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์เพชรติดตามพระพุทธองค์ไปอุบัติยังสุขาวดีเมื่ออุบัติแล้วก็จะได้เห็นพระกายอันสมบูรณ์ของพระอมิตาภะ และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะได้เห็นพระแพพรรณรังสีส่องแสงสว่างเห็นป่ารัตนชาติและได้ยินเสียงธรรมอันประเสริฐพร้อมที่จะบรรลุโพธิญาณได้ในทันที
รูปแบบที่สอง เป็นรูปแบบของบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาจดจำหรือ สวดพระสูตรมหายานแต่พวกเขาก็เข้าใจความจริงที่แฝงอยู่ในคำสอนเหล่านั้น(บางแห่งเขียนว่าเป็นผู้แตกฉานในปรมัตถธรรม)เชื่อมั่นในความจริงนั้นโดยไม่พูดให้ร้ายหลักคำสอนมหายาน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมและอุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำไว้เพื่อการมุ่งสู่สุขาวดีในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจพระอมิตาภะ กับ พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารติดตามอีกจำนวนนับไม่ถ้วนจะเสด็จมาประทานบัลลังก์ทองและกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่าเป็นผู้ที่เข้าใจและมีศรัทธาในธรรมดังนั้นจึงเสด็จมารับและเชื้อเชิญให้ไปอยู่ในสุขาวดีพวกเขาจะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองและในบัดดลนั้นเองพวกเขาก็ได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบแห่งรัตนชาติทั้งเจ็ดที่สุขาวดีบัลลังก์ทองของพวกเขาจะกลายเป็นดอกบัวรัตนอันงดงามและจะบานออกหลังจากที่พวกเขาอยู่ในนั้นนานหนึ่งคืน ร่างของพวกเขาจะกลายเป็นสีทองมีดอกบัวรัตนรองรับอยู่ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็จะได้เห็นพระอมิตาภะและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายกำลังฉายรัศมีมายังร่างของพวกเขาและจะได้ยินเสียงธรรมอันลึกซึ้ง หลังจากเจ็ดวันแห่งการฟังธรรมพวกเขาก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
รูปแบบที่สาม เป็นรูปแบบของบุคคลที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่จาบจ้วงคำสอนมหายานได้ปลูกฝังความคิดที่จะบรรลุโพธิญาณสูงสุดและอุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการมุ่งสู่สุขาวดีในขณะที่พวกเขากำลังสิ้นใจ พระอมิตาภะพร้อมทั้งอัครสาวกทั้งสองและผู้ติดตามจำนวนมาก จะเสด็จมาประทานดอกบัวให้พวกเขาจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์เสด็จมารับจะเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวทองนั้น ดอกบัวจะหุบปิดร่างของเขาไว้และพาพวกเขาติดตามพระพุทธะทั้งหลายไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจาก 1 วันและ 1 คืนที่นั่น ดอกบัวจะบานออก ภายใน 7 วันต่อมาพวกเขาจะได้เห็นพระกายของพระอมิตาภะแต่ไม่ชัดเจนนักต้องรอให้ถึงสัปดาห์ที่สี่จึงจะเห็นพระพุทธกายได้ชัดเจนจากนั้นพวกเขาก็จะได้ฟังธรรมอันประเสริฐจะได้เดินทางไปสักการะพระพุทธเจ้าทั่วทุกสารทิศเพื่อเรียนรู้ธรรมเมื่อเวลาผ่านไปสามกัลป์เล็กก็จะได้เข้าสู่ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(มุทิตาภูมิ)
ในรูปแบบที่สามนี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลบางแห่งระบุว่าพระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองใช้อำนาจฌานเนรมิตดอกบัวทองในพระหัตถ์ให้กลายเป็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์ มารับผู้มีคุณสมบัติข้างต้น เมื่ออุบัติแล้วจะใช้เวลา 1 วันเต็มดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นอีก 7 วันจะได้เฝ้าฟังธรรมจากพระอมิตาภะและพระอัครสาวกทั้งสอง ฟังอยู่ 37 วันก็จะบรรลุโพธิญาณ
ระดับสอง สำหรับบุคคลประเภทกลางๆผู้มีจริตโน้มไปทางสาวกยาน มีอยู่ 3 รูปแบบได้แก่
รูปแบบที่สี่ เป็นรูปแบบบุคคลที่รักษาศีลห้าและแปดมีความสำรวมในการบริโภค(ตรงนี้อาจมีนัยยะหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย)เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติทางศีลธรรมไม่กระทำอนันตริยกรรม(กรรมหนักฝ่ายบาปอกุศล 5 อย่าง) ไม่สร้างปัญหาหรือเบียดเบียนชีวิตอื่นใดอีกทั้งอุทิศความดีงามทั้งหลายที่กระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดีขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะพร้อมทั้งเหล่าภิกษุและบริวารจะปรากฎตรงหน้าจะทรงฉายรัศมีสีทอง พร้อมกับประทานคำสอนในเรื่องกฎไตรลักษณ์ความปิติล้นพ้นจะบังเกิดแก่พวกเขาจะนิมิตเห็นตนเองคุกเข่าถวายความเคารพพระพุทธองค์อยู่บนดอกบัวก่อนที่พวกเขาจะเงยศรีษะขึ้น ก็สามารถอุบัติอยู่ในแดนสุขาวดีแล้วต่อมาดอกบัวนั้นจะบานออกเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงธรรมบัญญัติในเรื่องอริยสัจสี่จากนั้นพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงได้บรรลุอรหัตตผลในทันที จะเกิดปัญญาญาณและมีอายตนะทั้งหกเหนือธรรมดา
รูปแบบที่ห้า เป็นรูปแบบของบุคคลที่รักษาศีลแปดพร้อมกับสำรวมระวังในการบริโภคมาแล้วอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืน หรือไม่ก็เป็นพวกที่รักษาศีลสิบของสามเณรมาอย่างน้อย 1วันกับ 1 คืนหรือ ไม่ก็เป็นพวกทีรักษาศีลธรรมอันดี ไม่ทำลายเกียรติของตนไม่ละเลยการปฏิบัติบูชาอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืนเช่นเดียวกันและอุทิศกุศลที่ตนกระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจจะได้เห็นพระอมิตาภะพร้อมด้วยบริวารอยู่เบื้องหน้าจะทรงฉายรัศมีสีทองพร้อมกับประทานดอกบัวรัตนะให้จากนั้นพวกเขาจะได้ยินเสียงร้องสรรเสริญพวกเขามาจากฟากฟ้าและเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวที่ได้รับมานั้น ดอกบัวจะหุบรอบตัวเขาและพาไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากนั้น 7 วันดอกบัวจะบานออกเขาจะตื่นขึ้นมาทำความเคารพพระพุทธองค์และจะได้ยินเสียงธรรมอันทำให้ได้เข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน(บรรลุโสดา)เมื่อเวลาล่วงไปครึ่งกัลป์ พวกเขาจะสามารถบรรลุอรหัตตผลกลายเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
รูปแบบที่หก เป็นรูปแบบของกุลบุตรกุลธิดาที่มีความกตัญญู เลี้ยงดูผู้มีพระคุณมีจิตใจเมตตากรุณาต่อโลก(บ้างก็ว่ารักษาศีลห้าเป็นนิจ) ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจจะได้พบกับบัณฑิต(คนดี) มาบรรยายให้เห็นภาพดินแดนสุขาวดี ได้สดับเรื่องราวของปณิธาน 48 ข้อ ของพระธรรมกร(อดีตชาติของพระอมิตภะ) ในชั่วอึดใจหลังจากที่พวกเขาสิ้นใจก็จะไปอุบัติในแดนสุขาวดี จากนั้น 7 วันดอกบัวจึงจะบานออกพวกเขาจะได้พบกับพระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอวโลกิเตศวรและพระมหาสถามปราปต์และจะได้เรียนธรรมะจากท่าน เมื่อเวลาล่วงไป 1 กัลป์เล็กพวกเขาจะได้บรรลุอรหัตตผล
ระดับสามสำหรับบุคคลที่มีมิจฉาทิฐิ ประกอบอกุศลกรรมไว้ มี อยู่ 3 รูปแบบเช่นกันได้แก่
รูปแบบที่เจ็ด เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำกรรมชั่วไว้มากแต่ไม่เคยกล่าวร้ายต่อคำสอนมหายานพวกเขาเป็นคนโง่และไม่มี หิริ(ละอายชั่ว) โอตัปปะ(เกรงกลัวบาป) แต่ขณะไกล้สิ้นใจมีโอกาสได้พบบัณฑิต (คนดีหรือกัลยาณมิตร) ที่สวดสรรเสริญคำสอนมหายานหัวข้อหลักๆให้ฟัง เมื่อได้ยินชื่อพระสูตรต่างๆ เหล่านั้นแล้วพวกเขาก็จะหลุดพ้นจากบาปหนักที่จะผูกพันให้อยู่ในสังสารวัฏนับได้ 1000 กัลป์บัณฑิตผู้นั้นจะสอนให้เขากล่าวบูชาพระอมิตาภะ ด้วยการเปล่งวาจา "นโม อมิตาภะ"เมื่อเอ่ยพระนามแล้วบาปกรรมอันที่จะผูกพันเขาของพวกเขาไว้ในสังสารวัฏจะหลุดออกนับได้ 50 ล้านกัลป์เวลานั้นพระอมิตาภะจะสร้างภาพนิมิตของพระองค์รวมทั้งภาพนิมิตของพระอัครสาวกทั้งสองไปรับเขาเขาจะเห็นรัศมีของพระอมิตาภะองค์นิมิตสาดส่องไปทั่วห้องก่อนสิ้นใจจากนั้นเขาก็จะนั่งอยู่บนดอกบัวติดตามพระพุทธนิมิตไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดีเช่นกันดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาล่วงไป 7 สัปดาห์เขาจะได้เห็นพระอัครสาวกทั้งสองอยู่เบื้องหน้าสาดส่องพระฉัพพรรณรังสีและแสดงธรรมอันลึกซึ้ง ศรัทธาจะเกิดขึ้นเขาจะตั้งจิตปรารถนาขอบรรลุโพธิญาณสูงสุด เมื่อเวลาผ่านไป 10 กัลป์เล็กเขาจะเกิดปัญญาและสามารถเข้าสู่ ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(นอกจากนั้นพวกที่มีโอกาสได้ยินชื่ของพระรัตนตรัย-พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็สามารถไปอุบัตินแดนสุขาวดีได้เช่นเดียวกัน) ใช้เวลายาวนานถึง 77 วันดอกบัวจึงจะบานออก
รูปแบบที่แปด เป็นรูปแบบของบุคคลที่ละเมิดศีลห้าศีลแปด ตลอดจนข้อบัญญัติทางศีลธรรมอื่นทั้งหมดพวกเขาโง่เขลาขนาดที่สามารถขโมยข้าวของสงฆ์(ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกสงฆ์หรือ ชุมชนสงฆ์)พวกที่สั่งสอนธรรมผิดๆได้โดยไม่มีหิริโอตัปปะ ซ้ำยังยกย่องตนเองในการกระทำผิดๆเหล่านั้น บุคคลเหล่านี้สมควรที่จะไปสู่อบายภูมิขระที่พวกเขาไกล้สิ้นใจจะเห็นไฟนรกวิ่งเข้ามาหาในทุกทิศทุกทางแต่ก็มีบัณฑิตใจกรุณามาแนะนำสั่งสอนให้เห็นคุณธรรมและบารมีของพระอมิตาภะท่านจะบรรยายให้เห็นพลังของพระพุทธองค์ ให้เห็นคุณธรรมของ ศีล สมาธิ ปัญญาและนิพพาน หลังจากได้ยิน พวกเขาจะหลุดพ้นจากบาปอันจะผูกพันเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ ไฟนรกอันดุเดือดจะเปลี่ยนเป็นลมเย็นบริสุทธิ์พัดโชยให้เห็นดอกไม้สวรรค์จำนวนมากมาย ในแต่ละดอกจะมีภาพนิมิตของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ประทับอยู่เพื่อรอรับพวกเขา ในขณะนั้นเองพวกเขาก็จะได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากเวลาล่วงไป 6 กัลป์ดอกบัวจึงจะบานออกจากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะแสดงธรรมเกี่ยวกับพระสูตรมหายานอันลึกซึ้งเมื่อได้ยินเสียงธรรม พวกเขาจะสามารถกำหนดจิต(แรก)ไปสู่ทางเพื่อบรรลุโพธิญาณสูงสุดได้(กล่าวโดยง่ายคือเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น)
รูปแบบที่เก้า เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำชั่วหนักและมาก รวมถึงพวกที่กระทำอนันตริยกรรมสมควรที่จะตกไปสู่อบายภูมิเพื่อทนทุกข์ที่ตนก่อนับนับหลายๆ กัลป์แต่ขณะไกล้สิ้นใจได้มีโอกาสพบกับบัณฑิตผู้มาปลอบโยนและสอนธรรมให้โดยสอนให้พวกเขาระลึกถึงพระอมิตาภะ แต่เพราะถูกรบกวนด้วยวิบากแห่งทุกข์ที่ทำไว้ทำให้พวกเขาไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ บัณฑิตจึงสอนให้พวกเขาเอ่ยพระนามของพระอมิตาภะ ให้พวกเขาท่อง"นโม อมิตาภะ" จนครบ 10 ครั้งด้วยจิตที่สงบด้วยการเอ่ยพระนามซ้ำๆ เช่นนั้นจะช่วยลบล้างบาปที่จะผูกพันพวกเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์เขาจะเห็นดอกบัวทองปรากฎอยู่เบื้องหน้าในเวลาตาย และจะได้ไปอุบัติอยู่ในสุขาวดีดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาผ่านไป 12 มหากัลป์จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะสอนให้พวกเขาเข้าใจภาวะที่แท้ของธรรมชาติทั้งหลายรวมทั้งข้อปฏิบัติที่จะลบล้างบาป เมื่อได้ยินธรรมพวกเขาจะเกิดปิติและมุ่งความคิดสู่พระโพธิญาณ
ดั้งนั้น จึ่งสรุปว่า ไม่ใช่ พุทธเกษตรคือนิพพานตามแบบอนุตตรธรรม ดอกบันนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมสัตว์ที่จะมาจุติแบบอุปปาติกะ แล้วบานออก ไม่ใช่มีอยู่แล้วมีป้ายชื่อติดไว้แล้วของใครของมัน เมื่อรับธรรมแล้วก็จะมีแบบอนุตตรธรรม และก็ดอกบัวของคติพุทธเกษตรจะไม่มีวันเหี่ยวแห้งไปเพียงแต่จะงามไม่เหมือนกันตามแต่กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ทำมา สัตว์ที่อุบัติในพุทธเกษตรคือเที่ยงตรงต่อนิพพานเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางตกต่ำลงมาอีกอย่างน้อยๆๆก็จะลุถึงโสดาบัน
" ดูก่อนสารีบุตร สัตว์ที่เกิดขึ้นในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเกี่ยวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่านั้น มิใช่ทำได้โดยง่าย นอกจากจะนับว่า "อประไมย" (ประมาณไม่ได้) "องสไขย" (นับไม่ได้) อนึ่ง สาริบุตร สัตว์ทั้งหลายควรตั้งประณิธาน(ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าที่ไหนเล่า การได้อยู่ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้ (เหมือนในสุขาวดีนี้) สาริบุตร สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า มิใช่ด้วยกุศลมูลเพียงเล็กน้อย สาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับพระนามของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแล้วจักมนสิการ จักมีจิตต์ไม่ซัดส่าย มนสิการตลอดราตรีหนึ่ง หรือ 2 ราตรี หรือ 3, 4, 5, 6, 7, ราตรี เมื่อกุลบุตรหรือกุลธิดานั้นจักสิ้นชีพ พระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังสิ้นชีพ เขาย่อม
มีจิตสงบสิ้นชีพไป ครั้นสิ้นชีพแล้วก็จะไปเกิดในสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้นแล. สาริบุตรเอย เหตุดังนั้นแหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์นี้ จึงกล่าวว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาพึงตั้งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้นโดยเคารพ"
สุขาวดียูหสูตร
นอกจากนี้ในระดับภาษาธรรม พุทธเกษตรก็อาจจะตีความได้ว่า คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นเอง ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเรา ดั่งวิมลเกียรตินิรเทศสูตร(ไม่มีในพระบาลีแต่มีในคัมภีร์มหายาน) มีข้อความว่า
“ดูก่อนรัตรกูฏ ในสรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นแล ชื่อว่าเป็นวิสุทธิเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง รัตนกูฏ ! เธอพึงสำเหนียกว่า จิตที่ตั้งไว้ถูกตรงนั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งปราศจากมายาความหลอกลวง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น จิตที่ลึกซึ้งนั้นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกุศลคุณ บ่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น โพธิจิต นั้นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิเหล่าสัตว์ซึ่งเป็นมหายานิกบุคคล ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การบำเพ็ญทาน นั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมาจาคธรรม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การรักษาศีล นั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งบำเพ็ญกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ได้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ขันติ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งรุ่งเรืองด้วยทวัตติงสาลังการ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น วิริยะ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิเหล่าสัตว์ผู้มีความบากบั่นพากเพียรในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฌานสมาธิ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพรนะโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสำรวมจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ปัญญา นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพรนะโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์เที่ยงต่อการตรัสรู้ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฯลฯ.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น