ศพไม่แข็งเรื่องธรรมชาติ
ที่ลัทธิอนุตตรธรรมพยายามให้เหนือธรรมชาติ
เรื่องเกิดแก่เจ็บตายนั้นป็นธรรมชาติปกติแต่ดูเหมือนว่าทางลัทธินี้เขาพยายามจะทำให้เป็นเรื่องไม่ปกติจนกระทั่งเหนือธรรมชาติไห้ได้ทั้งที่บอกเสมอว่า ธรรมมะคือธรรมชาติ... แม้กระทั่งคนตายแล้วตัวนิ่ม ก็ใช้หากินกันมาทุกรุ่นและประกาศว่าหากรับธรรมมะจากลัทธิแล้วจะเป็นอย่างนี้ทุกคนแถมพยายามทำให้เป็นประจักษ์หลักฐานอุตส่าเปิดโลงจับศพขึ้นมาถ่ายรูปบ้างถ่ายวีดีโอบ้าง เฮ้อ ! สังเวชทั้งศพและญาติเหลือเกินแทนที่จะได้ทำพิธีปกติกลับต้องดึงศพมายกแข้งถ่างขาให้ลัทธิเขาหากินกับศรัทธาอยู่เนือง ๆ ซ้ำร้ายลัทธิยังโฆษณาชวนเชื่อต่ออีกว่าศพไม่แข๊งแสดงว่าไปนิพพานแล้ว..??? ไม่ทราบเอาอะไรมาวัดมาตรฐานมั่ว ๆ แบบนี้กันแน่สำหรับลัทธินี้
ขอเล่าให้ฟังว่าศพนั้นจะตัวนิ่มหรือแข็งเป็นเรื่องธรรมชาติทั้งสิ้น
เราลองมาศึกษากันก่อนว่าการที่ศพแข็งทื่อนั้นเกิดจากสาเหตุใด..??
สภาพแข็งทื่อหลังตาย (อังกฤษ: Rigor Mortis) หรือการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตายเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังการตายตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เกิดจากสภาพแข็งทื่อหลังตายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายภายหลังการตาย ซึ่งทางการแพทย์มีความเชื่อว่าสภาพแข็งทื่อหลังตายหลังการตายนั้น มีสาเหตุมาจากการที่สารให้พลังงานในเซลล์ชื่อว่า เอทีพี หรือ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต(อังกฤษ: Adenosine triphosphate) ที่มีอยู่ในมัดกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดการสลายตัวไป เอทีพีที่เกิดขึ้นจากการสันดาปอาหารในเซลล์ของกล้ามเนื้อ โดยใช้ออกซิเจนเป็นตัวช่วย เพื่อทำให้กล้ามเนื้อสามารถทำงานได้เป็นปกติ
ทีนี้มาดูว่ากรณีที่ไม่ฉีดน้ำยาฟอร์มาลินและที่ฉีดนั้นจะมีผลอย่างไร
๑ สภาพศพธรรมชาติที่ไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีน
การเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย
เมื่อตาย ATP ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อภายในร่างกายจะค่อย ๆ เริ่มหมดไป สารแอกตินกับไมโอซินที่มีอยู่เฉพาะในเซลล์กล้ามเนื้อ จะจับตัวกับกล้ามเนื้อและจะเริ่มต้นแข็งตัวอย่างช้า ๆ ทำให้บริเวณกล้ามเนื้อที่ปราศจาก ATP เกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ส่งผลให้สภาพศพมีการเกร็งของแขนและขา ถ้ากล้ามเนื้อภายในร่างกายถูกใช้อย่างงานหนักก่อนตาย กล้ามเนื้อในบริเวณส่วนนั้นจะเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ลักษณะของกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักก่อนตายเช่น การออกกำลังกายอย่างรุนแรง การออกกำลังอย่างหักโหม ก็มีส่วนอาจทำให้ร่างกายเกิดการช็อกอย่างกระทันหันและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
การชักหรือมีไข้สูงในเด็กเล็ก ก็อาจมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ และทำให้ ATP ภายในกล้ามเนื้อมัดนั้นหมดไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการแข็งตัวทันทีหลังการตาย เรียกว่า คาดาเวอริคสปัสซั่ม (อังกฤษ: Cadaveric Spasm) เช่นในรายที่จมน้ำตายหรือเป็นตะคริว สภาพแข็งทื่อหลังตายก็มักเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ตายพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายที่จะเอาตัวรอดอย่างมากก่อนตาย เมื่อแพทย์ทำการผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์จะพบว่า ในร่างกายของผู้ตายมีคาดาเวอริคสปัสซั่มที่มือเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉุดตัวเองขึ้นจากน้ำ
**ระยะเวลาการเกิด (ตรงนี้น่าสนใจ)**
โดยปกติระยะเวลาการเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มเกิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงหลังตาย และเกิดการแข็งตัวเต็มทั่วร่างกายประมาณ 6-12 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มมีการอ่อนตัวลงอีกครั้งพร้อมกับการเน่าเปื่อยของร่างกาย กล้ามเนื้อภายในร่างกายจะเริ่มแข็งตัวพร้อมกันทุกมัด แต่กล้ามเนื้อบริเวณมัดเล็ก ๆ เช่น บริเวณข้อเล็กๆเช่นข้อนิ้วมือ กราม และคอจะปรากฏให้ตรวจพบได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วกว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่พบก่อนมักจะเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ใช้ในการเคี้ยวอาหาร เพราะฉะนั้นเมื่อทำการชันสูตรพลิกศพจะพบว่าขากรรไกรมีการแข็ง กดไม่ลงก่อนกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ จากนั้นจะพบที่บริเวณนิ้วมือ แขน ขาแล้วจึงถึงบริเวณลำตัว
ถ้าสภาพแข็งทื่อหลังตายถูกทำลายไปเช่น ศพถูกจับดึงแขนที่งอพับแข็งเกร็งออก สภาพของแขนที่ถูกดึงออกมา ก็จะใม่ปรากฏสภาพแข็งทื่อหลังตายอีกต่อไป เพราะสภาพแข็งทื่อหลังตาย มีระยะเวลาแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะและสภาพของร่างกายทั้งก่อนและหลังตาย ซึ่งระยะเวลาของสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มต้นที่ระยะเวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง ก่อนจะปรากฏเต็มที่ประมาณ 6-12 ชั่วโมง และสลายไปภายหลังระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อสภาพแข็งทื่อหลังตายสลายไปหมด สภาพของศพก็จะกลับมาอ่อนตัวเช่นเดิม
๒ กรณีที่ฉีดน้ำยาฟอร์มาลิน (Formalin)
ในทางการแพทย์เวลาคนไข้ตายที่ตึกผู้ป่วย เขาจะรอเวลาไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าตายแน่นอนก่อนจะเข็นไปเก็บที่ห้องเก็บศพ ต่อจากนั้นจะตามมาด้วยการเน่า (Autolysis)ซึ่งการเน่านี้จะสามารถทำให้เกิดช้าลงได้ด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ
1. การเอาศพไปแช่ตู้เย็นเหมือนกับที่เราแช่อาหารไม่ให้บูดเสีย ความเย็นจะยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียและหยุดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียได้
2. อีกวิธีคือ การฉีดน้ำยากันเน่า ซึ่งน้ำยาที่เราใช้ คือ น้ำยาฟอร์มาลิน (Formalin หรือ Formaldehyde) โดยวิธีการฉีด คือ ฉีดโดยใช้เครื่องปั๊มน้ำยาเข้าไปในหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอและขาหนีบ จนน้ำยาซึมซ่านไปทั่วร่างกาย ซึ่งจะหยุดการเน่าของเซลล์/เนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้เป็นเวลานาน ศพที่ฉีดน้ำยาฟอร์มาลินแล้ว จับดูเนื้อจะแข็งมากกว่าปกติ เพราะมีน้ำยาเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังจำนวนมาก และถ้าเราสังเกตดูศพที่ฉีดยาแล้ว จะมีสำลีอุดอยู่ที่รูจมูกทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาไหลล้นออกมาทางจมูกนั่นเอง
ในปัจจุบันคนทั่วไปนิยมฉีดยาศพมากกว่าไม่ฉีด เพราะจะทำให้ศพคงสภาพได้ดีกว่า และไม่ส่งกลิ่นเหม็นในกรณีที่ต้องทำพิธีศพหลายๆวัน
ในปัจจุบันคนส่วนมากจะมีวิธีจัดการกับศพเป็นแบบกรณีที่ ๒ เราจึงเห็นว่าศพจะตัวแข็งเพราะต้องฉีดฟอร์มาลีนแบบนี้เกือบทุกท่าน แต่หากเป็นตามธรรมชาติที่ไม่ได้ฉีดพอร์มาลีน หรือสภาพตายใหม่ ๆ หรือหากสภาพแข็งทื่อถูกทำลายตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานศพจะนิ่มเหมือนเดิมไม่ไช่มีแต่ในลัทธินี้เท่านั้นซึ่งพอคนในสถานธรรมลัทธินี้เขาตายเมื่อไรคนลัทธินี้ก็จะเฮโลกันไปเพื่อจะบอกกับญาติว่า.."ไม่ต้องฉีดฟอร์มาลีนนะ รับธรรมมะจากลัทธิแล้วไม่เป็นไร (แต่ก็ยังไส่โลงเย็นอยู่น๊ะจ๊ะ.?)"..หากเราเชื่อแล้วทำตามนั้นพอถึงวันนำออกมาฌาณกิจก็อัสจรรย์ล่ะซิที่นี้ศพตัวไม่แข็งจริง ๆ ที่นี้ล่ะเขาจะป่าวประกาศไป ๓ บ้าน ๗ บ้าน ญาติพี่น้องเองก็ศรัทธาแบบถวายหัวกันไปเลย แต่คนไม่ทำตามที่เขาบอกน่ะซิ แข็งเป็นท่อนไม้ทั้งนั้นล่ะ ทีตอนนี้ไม่เห็นพูดนะ ข้าพเจ้าเองก็เห็นกับตาว่าคนในสถานธรรมตายแล้วแข็งเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนนับไม่ถ้วน
แล้วเหล่าบรรพจารย์ของลัทธิล่ะครับตายตัวแข็งหรือนิ่มทำไมไม่เห็นงัดโลกขึ้นมาพิสูจน์กันบ้างเลย ลู่จงอี ก็ตายกระทันหันไม่ได้สั่งเสียอะไรด้วยซ้ำจนศิษย์รุ่นหลังต้องทะเลาะเบาะแว้งแย่งกันเป็นใหญ่ จางจื้อหรัน ก็ตายกระทันหันไม่ทราบสาเหตุ ซุนซู่เจิน และ เทียนหยาน ล่ะครับตายยังไงก็ไม่เห็นปรากฏชัดเจน...ตกลงแม้แต่บรรพจารย์ลัทธินี้เองยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองด้วยซ้ำมันก็ตายตัวเน่าเละเหมือนกันหมดล่ะครับ ถ้าเทียบกับเหล่าครูบาอาจารย์ในเมืองไทยที่ตายแล้วกระดูกเป็นพระธาตุจะไม่อัศจรรย์กว่าหรือครับ ลัทธิอนุตตรธรรมเคยทำได้หรือปล่าว..??
เอาล่ะกล่าวในประเด็นใหญ่ไปแล้วนอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่บางท่านอาจจะพอเห็นมาบ้างจากคนปกติทั้่วไปเช่นการตายโดยสงบจิตเป็นกุศลมีพุทธานุสติเป็นที่ตั้งศพก็ดูสดใสได้เช่นครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีซึ่งก็มากมายในประเทศไทยแม้ต่างประเทศก็มีเช่นกันหรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งท่านเหล่านั้นมิได้เคยสนใจลัทธินี้แต่ประการใดพูดง่ายว่าไม่รู้จักด้วยซ้ำ
เฮ้อ ...! การทำเรื่องปกติให้ไม่ปกติลัทธินี้เขาถนัดนักล่ะ
.......______________________________.......
เรื่องศพไม่แข๊งที่พระสงฆ์ยังโดนหลอก..!!
ภาพพระภิกษุที่จับเอาศพพ่อของตนเองขึ้นมาจากโลงศพ
แล้วจับโบกมื่อเพราะหลงเชื่อลัทธิอนุตตรธรรม
ช่วงนี้จะขอยกเอาคลิปวีดีโอที่ลัทธินี้ได้มีการใช้กลยุทธ์ในเรื่องศพไม่แข๊งมาชวนเชื่อหาคนเข้าลัทธิซึ่งพวกนี้ทำกันมานาน
จากที่ได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วข้างบน เรื่องนี้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ศพที่ตัวนิ่มส่วนมากจะอยู่ในกรณีที่ไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีนและจากนั้นจะเป็นไปใน 3 แบบคือ
1 ระยะก่อนแข็งตัว คือตายใหม่ ๆ
2 ระยะหลังการแข็งตัว คือผ่านช่วงแข็งไปแล้ว
3 การแข็งทื่อถูกทำลายลง เช่นศพถูกดึงแขนออก แขนที่ถูกดึงก็จะไม่กลับไปแข็งอีก
แต่หากฉีดฟอร์มาลีนก็จะแข็งนะครับเพราะมีน้ำยาเข้าไปอัดแน่นไต้ผิวหนัง และส่วนมากก็ต้องเอาไส่โลงเย็นนะครับอย่างในคลิปที่เห็นก็เป็นโลงเย็น
ซึ่งก็สรุปว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่เป็นเรื่องธรรมดาที่นักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ แต่ว่าลัทธิอนุตตรธรรมกลับนำไปเป็นเป็นเครื่องมือหากินสำหรับผู้ที่ไม่รู้ แต่ยังมีเรื่องที่น่าสังเวชอีกอย่างนะครับเพราะมีคลิปตัวอย่างถ้าหากท่านดูให้จบดูก็จะเห็นมี พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา มาในรูปแบบพระสงฆ์เต็ม ๆ
คือพระมหาจรูญ เป็นพระผู้ใหญ่ระดับพระสังฆาธิการ
บวชมาแล้ว 17 พรรษา
ร่ำเรียนมาจนเป็นมหาเปรียญธรรม 3 ประโยค
เป็นเจ้าอาวาศวัด (ขอไม่เอ่ยชื่อวัด)
ซึ่งไปหลงเชื่อเรื่องนี้โดยไม่ศึกษาจึงต้องตกมาเป็นเครื่องมือลัทธิแอบอ้างพระศาสนานี้ พระสงฆ์ท่านนี้มีการออกมารับรองลัทธิอนุตตรธรรมว่าดีงามแบบชัดเจน เท่านั้นไม่พอยังโจมตีพระพุทธเจ้าและพระศาสนาว่าไม่ดีโดยการบอกว่า การบำเพ็ญในยุคแดงนั้นไม่ทันเวลาซะแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ไช่ทางสายตรง การทำสมาธิภาวนาก็ไม่ทันเวลา สู้ไปเข้าลัทธินี้ไม่ได้ (ดูให้จบจะเห็นความเสื่อมของพระ)
ขอยกคำพูดในคลิปที่พระภิกษุองค์นี้พูดไว้
เพื่อให้พิจารณาความเสื่อมกันครับ...ดังนี้
เพื่อให้พิจารณาความเสื่อมกันครับ...ดังนี้
## อยากจะฝากถึงนักธรรมอาวุโสทุกท่าน (หมายถึงคนในอนุตตรธรรมซึ่งพระท่านยกให้เป็นอาวุโส..?) ถึงแม้ตัวอาตมาจะเป็นผู้รับธรรมมะที่หลังแต่อาตมาก็เชื่อ เพราะอาตมาก็ศึกษาพระไตรปิฏกมาพอสมควรแต่ว่ามันไม่ใช้ทางสายตรงเหมือนวิถีอนุตตรธรรม..!!! เพราะเป็นธรรมมะในยุคแดง(หมายถึงยุคแห่งพระโคดมพุทธเจ้าซึ่งลัทธิกล่าวว่าหมดไปแล้ว) ที่จะต้องปฏิบัติด้วยการรักษาศีล รักษากาย รักษาวาจา ให้จิตนิ่งจริงแต่มันก็ไปไม่ทันแล้ว เราจะมัวมานั่งหลับหูหลับอยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้มันยุคจรวดแล้ว
## อยากจะชักชวนญาติโยมที่ยังลังเลสงสัย อย่างอาตมาเองตอนแรกก็ลังเลแต่พอมาเห็นจากศพคุณพ่อรู้สึกว่าประทับใจว่า...ธรรมมะวิถีอนุตตรธรรมเป็นทางสายเอกจริง ๆ ...(จบ)..!!!
เป็นไงจบได้น่าทึ่งจริง ๆ เป็นพระภิกษุแท้ ๆ แต่กลับมาให้การสนับสนุนรีดเดียรถีย์ออกหน้าออกตา แถมยังพูดจาดูหมิ่นพระพุทธศาสนาซะเองว่าไม่ไช่ทาง...ลงท้ายด้วยการชักชวนญาติโยมให้มาเข้าลัทธิและปิดท้ายด้วยการตอกย้ำว่า ลัทธินี้เป็นทางสายเอกจริง ๆ โอ๊ย...อ่านแล้วทำไมมันเสื่อมได้ขนาดนี้ครับ สึกไปจะดีใหมคุณพี่จรูญ ท่านเป็นเจ้าอาวาสแบบนี้แล้วจะไปสอนลูกศิษย์ญาติโยมอย่างไร ??
ศพไม่เน่าเป็นเรื่องมีอยู่แล้วมากมาย...ไม่จำเป็นต้องไปเข้าลัทธิ
คลิปบน >>นี่..อันนี้อัสจรรย์ยิ่งกว่าครับ ตายมาตั้งนานแล้วตัวไม่เน่าแล้วก็ไม่ไช่สาวกลัทธิอนุตตรธรรมด้วยครับ
ตายมาตั้งนานแล้วตั้งหลายปีแล้วนะ..มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนล่ะถ้าเหตปัจจัยพร้อม
ไม่จำเป็นต้องไปเข้าลัทธินี้หรอกครับ
ตายมาตั้งนานแล้วตั้งหลายปีแล้วนะ..มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนล่ะถ้าเหตปัจจัยพร้อม
ไม่จำเป็นต้องไปเข้าลัทธินี้หรอกครับ
คลิปบน >>นี่อีกอันตายตั้งนานแล้วก็ยังไม่เน่านะครับ แล้วเขาก็ไม่ได้รู้จักลัทธินี้เลยนะ เรื่องแบบนี้ก็มีที่อื่น ๆ เหมือนกันนะครับไม่ไช่แค่ลัทธินี้ แต่ทุกอย่างมีคำอธิบายครับ
http://www.youtube.com/watch?v=83bO0CIuGsg
http://www.youtube.com/watch?v=_0DUu4TpKvc
คุณยายวัย 73 ปีตายแล้วฟื้นฝีปมตามตัวก็หาย..วิเศษกว่าลัทธิอนุตตรธรรมซะอีก
ภาพบน >>คือ บัณฑิโต ฮัมโบ ลามะ แห่งวัดอิวอลคินสกีดัตสัน
ท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะเสียชีวิตด้วยซ้ำและก็ได้เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2470
ผ่านมา 86 ปีแต่ศพยังมีสภาพสมบูรณ์..อัสจรรย์ยิ่งกว่าอนุตตรธรรมอีกครับ
ภาพบน^^ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
ภาพบน^^ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ท่านมรณภาพตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕
ภาพบน^^หลวงปู่ผินะ ปิยธโร เจ้าอาวาสวัดสนมลาว มรณภาพวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2545
ร่างหลวงพ่อผินะนั่งหมดลมหายใจในท่านั่งขัดสมาธิอย่างสงบ ท่านมรณภาพเวลาประมาณ 05.14 น. แต่เวลาล่วงเลยกว่า 12 ชั่วโมงแล้วร่างกายเนื้อตัวท่านยังอ่อนนิ่ม ไม่คล้ายดังคนที่หมดลมหายใจแต่อย่างใด
ติดตามต่อตอน 2 >http://protectbuddha.blogspot.com/2014_06_01_archive.html
อ้างอิง
๑ 2.0 2.1 การแข็งตัวของกล้ามเนื้อ, พลตำรวจตรี เลี้ยง หุยประเสริฐ พบ., อว. (นิติเวชศาสตร์) ผู้บังคับการ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ, 2549, หน้า 28
๒ กลุ่มภารกิจด้านข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศสุขภาพ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข
http://bps.ops.moph.go.th/
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B0_%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%A3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น