วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติลัทธิอนุตตรธรรม



ลัทธิอนุตตรธรรม และกำพืชที่แท้จริง

ลัทธินี้ก็ไม่ไช่ออริจินั่ลแรกเริ่มนะครับแต่ก็แตกมาจากลัทธิอื่นอีกทีหนึ่งโดยผมจะขอเล่าตั้งแต่ลัทธิแรกเริ่มไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเป็นอนุตตรธรรม

ลัทธิอนุตตรธรรมไม่มีได้มีประวัติศาสตร์และอายุยืนนานพร้อมกับการเกิดโลกอย่างที่กล่าวอ้างแต่เพิ่งเกิดไม่นานและมีภูมิหลังเดิมมาดังนี้

ลัทธินี้เป็นส่วนพัฒนาต่อยอดมาจากลัทธิใต้ดินในประเทศจีน ที่มีแนวคิดเรื่องศาสนาใหม่ของพระศรีอาริย์ ส่วนหนึ่งด้วยเหตุผลการปลดแอกทางการเมืองโดยชุมนุมชน และลัทธิที่นิยมหลักการรวมศาสนาต่างๆ ในจีน เรื่องลัทธิที่อ้างพระเมตไตรยก็เป็นอีกหนึ่งในหลายรูปแบบที่แพร่หลาย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้แต่ประเทศไทยในปัจจุบันก็สามารถพบเห็นได้ ซึ่งสามารถพบได้ในแหล่งคนจีน และไม่ใช่คนจีน ความจริงลัทธิพวกนี้แม้จะอ้างบุคคลตลอดจนถึงหลักคำสอนในพุทธศาสนาและศาสนาเต๋า แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและศาสนาเต๋าแต่อย่างใด
ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจีน เรียกลัทธิพวกนี้ว่า “ลัทธิเดียรถีย์ที่อิงแอบพุทธศาสนา” ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นมีทั้งที่อิงพุทธศาสนาและทั้งที่อิงศาสนาเต๋า หรืออิงทั้ง2-3ศาสนา (รวมขงจื่อด้วย) มีการนำ บุคคล, คัมภีร์, คำสอน ของศาสนาดังกล่าวเพื่อบังหน้า แต่ลึกๆแล้วมีการสอดแทรกคำสอนของตน ตลอดจนมีการอธิบายความคำสอนตามความคิดของตน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆกันไป โดยจุดประสงค์ของลัทธิพวกนี้อาจมีตั้งแต่เพื่อหาเงิน, สมาชิก, สร้างความยิ่งใหญ่ขององค์กรหรือแม้แต่กระทั่งเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง ฯลฯ

ปี พ.ศ.๑๕๙๐ สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ปีชิ่งหลี่ที่ ๗
“หวังเจ๋อ” อ้างคำกล่าวที่ว่า “ศาสนาของพระศากยมุนีสิ้นแล้ว เวลานี้เป็นศาสนาของพระเมตไตรย” ขึ้นเพื่อชักจูงผู้คนก่อกบฏ

สมัยราชวงศ์หยวน มณฑลเหอหนาน เกิดพรรคสุคนธ์
ทำการทรงเจ้าประกาศว่า “บัดนี้พระเมตไตรยมาอุบัติแล้ว” และเกิด “กองทัพสุคนธ์” ที่อ้างพระเมตไตรยมาบังหน้าก่อกบฏตอนต้นราชวงศ์หมิง ความเชื่อเรื่องยุคพระเมตไตรยถูกหลอมรวมกับความเชื่อในศาสนาเต๋า เกิดองค์กรใต้ดินมากมาย มีการแอบอ้างพระเมตไตรย์ไม่ขาดสาย จนถึงปัจจุบัน ขอแจกแจงแต่ละองค์กรอันเป็นที่มาลัทธิอุบาทย์ดังนี้


ลัทธิบัวขาว (แปะโน่ยก่า) 

เกิดในสมัยตอนต้น ราชวงศ์ซ่งใต้ (พ.ศ. ๑๖๗๖) ก่อตั้งขึ้นโดย "เหมาจื่อเหฺยวียน" อ้างตัวว่าแยกออกมาจากพุทธมหายานนิกายสุขาวดี ในภายหลังสมัยปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง "หมิงไท่จู่ หรือจูหงวนจาง" ทรงเล็งเห็นถึงภัยอันตรายจากลัทธิเหล่านี้ ที่ใช้ความเชื่อซ่องสุมกำลังผู้คน จึงสั่งควบคุม ทำให้ลัทธิบัวขาวต้องแปรสภาพเป็นลัทธิใต้ดินนอกกฏหมาย เพื่อหลีกจากอำนาจของราชการ ต่อมาก็รวมลัทธิเข้ากับ "ลัทธิแสงธรรม หรือลัทธิมานิ" โดยมีกิจกรรมสืบเรื่อยมาจนถึงสมัยหมิงและชิง
(หมายเหตุ : ลัทธิต่างๆ ต่อไปนี้ มีสิ่งเหมือนกันคือ การกินเจ จึงถูกเรียกรวม ๆ ว่า"ลัทธิเจ")



ลัทธิแสงธรรม (กวงเม้งก่า) หรือ "ลัทธิมานิ" 


ลัทธิแสงธรรม หรือ หมิงเจี้ยว ในภาษาจีนกลาง และ เม้งก่า ในภาษาแต้จิ๋ว คือลัทธิหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน...ลัทธิแสงธรรมนี้เป็นลัทธิที่มาจากต่างประเทศนั่นคือ ลัทธิมานิ



ลัทธิมานิ Manichaeism (บางคนอาจจะเรียกว่าลัทธิมณี แต่เนื่องจากคำว่า มณี เป็นภาษาสันสกฤตอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าลัทธินี้มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียจึงขอเรียกว่า มานิ) เป็นสาขาหนึ่งในศาสนาบูชาไฟ Zoroastrianism มีต้นกำเนิดในอาณาจักรเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน) ก่อตั้งโดย มานิMani ในพุทธศตวรรษที่ โดยในปี พ.ศ.785 ได้เดินทางไปเผยแพร่ที่บาบิโลน ต่อมาในปี พ.ศ.820 ได้ถูกตรึงกางเขนจนเสียชีวิต


ปี พ.ศ.785 มานิได้เดินทางไปเผยแพร่ลัทธิที่บาบิโลนได้รับการนับถือจากกษัตริย์เปอร์เซียจึงสามารถลงหลักปักฐานได้ที่เปอร์เซีย ต่อมาเมื่อกองทัพโรมันยึดเปอร์เซียไว้ได้ลัทธิมานิจึงถูกกวาดล้าง เมื่อหนีมาอยู่ที่ Transoxiana จึงปลอดภัย

ลัทธินี้มีความเชื่อถึง ทวิภาวะและไตรยุค” ทวิภาวะ คือ ๒ สภาวะของ แสงสว่าง” (ความดี) และ ความมืด” (ความชั่ว)
ไตรยุค ได้แก่ ยุคทั้งสาม คือ 
ยุคแรก แสงสว่างและความมืดแยกจากกัน
ยุคที่สอง แสงสว่างและความมืดมารวมและรบกัน
ยุคสุดท้าย แสงสว่างและความมืดแยกจากกันอีกครั้ง
โดยแสงสว่าง เป็นพระบิดาที่ยิ่งใหญ่ ความมืด คือบุตร ผู้เป็นราชันย์แห่งความมืด  ด้วยเหตุที่ ลัทธิมานิ เป็นสาขาของศาสนาบูชาไฟนี้เองจึงเคารพบูชาแสงสว่างจนมาเป็น ลัทธิแสงธรรม ในพากย์จีนในที่สุด

ราชันย์แห่งความมืดมาท้ารบกับพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ พระบิดาไม่อยากรบด้วย จึงสร้างมารดาแห่งชีวิต มารดาแห่งชีวิตให้กำเนิดบุตรมนุษย์คนแรกโดยมีโอรสแสงสว่างทั้งห้าไปรบกับราชันย์ความมืดแล้วแพ้ โอรสแสงสว่างถูกความมืดกลืนลงไปมนุษย์คนแรกจึงขอให้พระบิดาช่วยสร้างเทพขึ้นอีกมากมาย แล้วเทพเหล่านั้นก็สร้างเทพอีกเป็นทอดๆ จนโอรสแสงสว่างทั้ง ๕ ได้รับการช่วยเหลือ

ลัทธิมานิอธิบายว่า เทพมากมายที่พระบิดาสร้าง คือการสร้างจักรวาลและสรรพสิ่ง ผู้เผยแพร่ลัทธิแห่งแสงสว่าง คือทูตแห่งแสงสว่างเพื่อประกาศธรรมช่วยสรรพชีวิตพ้นทุกข์ให้กลับคืนสู่พระบิดา(คล้ายกับที่ลัทธิอนุตตรธรรมอุปโลกเรื่องการกลับนิพพานบ้านเดิม) โดยยังอ้างว่า บรรดาศาสดาของทุกศาสนาและลัทธิต่างๆ เป็นเพียงทูตแห่งแสงสว่าง เป็นวิธีการกล่าวตู่เหมารวมที่มีตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน(เหมือนกับที่ลัทธิอนุตตรธรรมอุปโลกว่าพระพุทธเจ้าคือผู้ที่พระแม่องค์ธรรมส่งมา)

เอกลักษณ์ที่สำคัญของลัทธิมานิคือการนับถือแสงสว่าง ,พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ ,มารดาแห่งชีวิต ,การบริโภคมังสะวิรัติ ,งดเว้นการดื่มสุรา ,การนุ่งขาวห่มขาว ฯลฯ

ลัทธิมานิ เข้าสู่ประเทศจีนในนาม ลัทธิแสงธรรม ในสมัยราชวงศ์สุย (พ.ศ.1124 – 1161) และปรากฏอย่างชัดเจนในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161 – 1450) เมื่อเข้ามานั้นได้อาศัยพุทธศาสนาและศาสนาเต๋าเป็นเครื่องมือ โดยการแอบอ้างและแปลงเทพต่าง ๆ ของตนให้เป็นพระพุทธเจ้า ,พระโพธิสัตว์ในพุทศาสนา และเทพเจ้าของศาสนาเต๋าและขงจื่อ จนมาถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ.1503 – 1822) มีการเผยแพร่ลัทธิในหมู่ประชาชนโดยเฉพาะภาคใต้ของประเทศจีน อันได้แก่ เจียงตง(กังตั๋ง) ,เจียงซี(กังไส) ,ฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) ทั้งยังปลุกปั่นให้ประชาชนก่อการจลาจลหลายครั้ง จนฝูเจี้ยนกลายเป็นศูนย์กลางของลัทธิในที่สุด  โดยมีคัมภีร์ที่แอบอ้างชื่อพุทธศาสนาที่สำคัญ คัมภีร์คือ ไท่หยางซิงจวินเจิงจิง หรือ ไท่หยางเจินจิง และ ไท่อินซิงจวินเจินจิง หรือ ไท่อินเจินจิง  โดยที่คัมภีร์ทั้งสองนี้ยังสามารถพบได้ในปัจจุบันและพบได้ในประเทศไทยด้วย
ต่อมาในสมัยซ่งใต้ (พ.ศ.1670 – 1822) ลัทธิแสงธรรมได้ผนวกรวมกับลัทธิบัวขาว ต่อมา หมิงไท่จู่ฮ่องเต้” (จูเหยวียนจาง)แห่งราชวงศ์หมิงสั่งควบคุมกิจกรรมของลัทธิบัวขาวทำให้ลัทธิต้องลงใต้ดินกลายเป็นลัทธินอกกฎหมาย

ในสมัยราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง ลัทธิบัวขาวทำกิจกรรมและแลกเปลี่ยนความเชื่อกับลัทธิต่าง ๆ ต่อมา หลอเมิ่งหง ก่อตั้งลัทธิหลอจู่ก็ได้รับความเชื่อมาด้วยจนพัฒนาเป็นลัทธินาคปุษปะ ,ลัทธิอนุตตรธรรม , เมตไตรมหามรรค ฯลฯ ในปัจจุบัน

อนุตตรธรรมมารดา (อู๋เซิงเหลาหมู่ , อู๋จี๋เทียนหมู่ , หวงหมู่ ,พระแม่องค์ธรรม ) ที่ลัทธินาคปุษปะ ,ลัทธิบุพพนภามรรค ,ลัทธิอนุตตรธรรม , ลัทธิเมตไตรมหามรรค ฯลฯ กล้าวอ้างแท้จริงแล้วก็มาจาก มารดาแห่งชีวิต” ของมานินั่นเอง

แม้แต่ในพิธีกราบใหว้ของลัทธิอนุตตรธรรมจะต้องขึ้นต้นด้วยพระนามของ อนุตตรธรรมมารดา โดยใช้คำว่า หมิงหมิงซั่งตี้  ซึ่งคำว่าหมิงนั้นก็หมายถึงแสงสว่างนั้นนั่นเอง

หมายเหตุ : ลัทธินี้อาจจะเรียกได้หลายชื่อนะครับเช่น มานิ ,มณี ,มาณีกี ,หมิงเจี้ยว ,เม้งก่า ,แสงธรรม  ทั้งหมดนี้คือลัทธิเดียวกันครับ




ลัทธิหลอจู่


ก่อตั้งโดย หลอเมิ่งหง (หรือ หลอชิง หรือ หลอผู่เหริน) ชาวซันตง (เมืองต้นกำเนิดลัทธิอนุตรธรรม) อ้างตนว่าแยกตัวมาจากพุทธนิกายเซ็น สาขาหลินจี้ แต่ความเป็นจริง แยกมาจากลัทธิบัวขาว โดยได้รับอิทธิพลจากการแลกเปลี่ยนกันในหมู่ลัทธิใต้ดินสมัยช่วงปลายราชวงศ์หมิง จนปลายราชวงศ์ชิง ก็เกิดลัทธิแตกแขนงอีกมาก
ในปัจจุบัน ยังมีบางลัทธิที่หลงเหลืออยู่เช่น ลัทธินาคปุษปะ, ลัทธิอนุตรธรรม, ลัทธิเมตไตรยมหามรรค

ข้อสังเกตุ : "ลัทธิเจ" จะไม่มีนักบวช มีแต่ผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมแต่ไม่ใช่นักบวชจริงๆ มีทั้งที่นุ่งขาวห่มขาว และไม่นุ่งขาวห่มขาวและเนื่องจากที่ไม่มีนักบวช จึงไม่ได้ให้ความเคารพในนักบวชของศาสนาอื่นๆ แม้ตนจะเอาหลักศาสนานั้นๆ มาใช้เช่น ในศาสนาพุทธก็ไม่ได้ให้ความเคารพต่อพระสงฆ์ ในศาสนาเต๋าก็ไม่ได้ให้ความเคารพนักพรต หรืออาจเคารพบ้างแต่ไม่ได้จริงจังอะไรและคำสอนบางอย่างแม้จะนำมากล่าวอ้างแต่มีหลายประการที่ขัดแย้งและหลายประการก็โจมตีด้วยทั้งศาสนาพุทธและเต๋า





--ลัทธิอนุตตรธรรม--

จากภาพคือ ลู่จงอี ธรรมาจารย์ที่ ๑๗ แห่งลัทธิอนุตตรธรรม
ซึ่งอ้างว่าเป็นพระศรีอารีย์เมตไตรยของศาสนาพุทธ และเป็นจินกงในลัทธิเต๋า



อี๋ก้วนเต้า หรือเทียนเต้า ในภาษาจีนกลางหรือก็คือ "ลัทธิอนุตตรธรรม" ในภาษาไทย("ลัทธิอนุตตรธรรม", "อนุตตรธรรม", "วิถีอนุตตรธรรม" เป็นชื่อที่ใช้เรียกตนเองเมื่อเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย) มีที่มาจาก "ลัทธิหลอจู่" ผสมผสานกับ "ลัทธิบัวขาว" "ลัทธิเมตไตรย" ก่อตั้งโดย "หลิวชิงซวี่" (ธรรมาจารย์ที่ ๑๖ ของลัทธิหลอจู่) ในปีที่12 แห่งราชวงศ์ชิง ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๒๙ โดยแตกแขนงมาจากลัทธิบุพพนภามรรค (เป็นลัทธิผสมผสานของลัทธิบัวขาวและลัทธิหลอจู่) แล้วมารุ่งเรืองในสมัย "ลู่จงอี" (ธรรมาจารย์ที่ ๑๗ ซึ่งอ้างว่าเป็นภาคหนึ่งของพระเมตไตรยของพุทธ และเป็นจินกงในลัทธิเต๋า) โดยเริ่มทำการเผยแพร่ ในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ที่มณฑลซันตง โดยมีศิษย์เอก ๒๕ คน และเมื่อ ลู่จงอีตายในปี พ.ศ.๒๔๖๘ อำนาจบริหารก็ตกเป็นของน้องสาวชื่อ ลู่จงเจี๋ย จากนั้น วันที่ ๑๐ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๗๓ หนึ่งในศิษย์เอก ๒๕ คน ชื่อ"จางจื้อหรัน" อ้างว่าได้รับบัญชาจาก "หวงหมู่" แต่งตั้งเป็น "ธรรมาจารย์ที่ ๑๘" โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากศิษย์คนอื่นๆ
ในปีพ.ศ.๒๔๗๗ ไปเผยแพร่ธรรมที่เทียนจินจนถึง พ.ศ.๒๔๗๙ ก็ถูกทางการจับขังคุกเป็นเวลาเกือบปี และตายในปี พ.ศ.๒๔๙๐ ตอนอายุ ๕๘ ปี ซึ่งลูกเมียคือ "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" สันนิษฐานว่า "ถูกวางยาฆ่าตาย" โดยญาติที่ชื่อ "ซุนฮุ่ยหมิง" หรือ "ซุนซู่เจิน" ต่อมา "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" ถูกทางการจีนจับกุมและ "ตัดสินประหารชีวิต" ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ พร้อมสาวกอีกร้อยกว่าคนในข้อหาแพร่ธรรมหลอกลวงผู้คน


จากภาพบนคือ ซุนฮุ่ยหมิง หรือ ซุนซู่เจิน ซึงในลัทธินับถือเป็นซือหมู่
บุคคลนี้ได้แอบอ้างตนเป็นพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา


"จางอิงอวี้" บุตรชายของ "จางจื้อหรัน" กับ "ซุนฮุ่ยหมิง" (หรือ "ซุนซู่เจิน") ต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่ในลัทธิฯ จนแตกเป็นสองฝ่าย"จางอิงอวี้" ยึดเอาหังโจวเป็นที่มั่น โดยเรียกว่าเป็นฝ่ายตะวันออกส่วน "ซุนซู่เจิน" ยึดเอาเฉิงตูเป็นที่มั่น เรียกว่าฝ่ายตะวันตก
โดยหลังจากนั้น ซุนซู่เจิน ได้ออกประกาศคำสาบาน ๕ ข้อ คือ
๑.ตัดขาดไม่นับจางจื้อหรันเป็นอาจารย์
๒.ตัดขาดไม่นับหลิวส้วยเจินเป็นอาจารย์แม่
๓.ตัดขาดไม่นับจางอิงอวี้เป็นศิษย์พี่
๔.จะไม่เอ่ยชื่อจางจื้อหรันในการเผยแพร่ลัทธิอีก
๕.จะไม่กราบหลุมศพของจางจื้อหรันในหังโจว

"ซุนฮุ่ยหมิง" หรือ "ซุนซู่เจิน" (จื่อซี) เมื่อประกาศไม่นับญาติกับครอบครัว "จางจื้อหรัน" "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" ก็ตั้งตนเป็น "ธรรมาจารย์ที่ ๑๘" ร่วมกับ "จางขุยเซิง" หรือ "จางกวงปี้" (กงฉัง) เป็นการล้างตำแหน่งของจางจื้อหรันออกไป จากเหตุข้างต้น ในปัจจุบัน ลัทธิฯ จึงไม่เคยเอ่ยถึงชื่อของจางจื้อหรันอีก จะเอ่ยแต่เพียงลู่จงอี ว่าเป็นปรมาจารย์ โดยมีกงฉัง และจื่อซี เป็นปรมาจารย์ลำดับรองลงมา (รวมทั้งที่เข้ามาเผยแพร่ในไทย

ด้วย)

จากภาพบนคือ จางขุยเซิง หรือ กงฉัง หรือ เทียนหยาน ซึ่งลัทธินับถือเป็นซือจุน
บุคคลนี้แอบอ้างตนเป็นพระอรหันต์จี้กงมาเกิด และมีหลายคนเข้าใจผิดว่าคือ จางจื้อหรัน 



พ.ศ.๒๔๙๑ ถึง ๒๔๙๒ กองทัพปลดแอกออกประกาศสลายลัทธิต่างๆ โดยลัทธิอนุตรธรรมขณะนั้น มีขนาดใหญ่มาก ซุนซู่เจิน หนีออกจากเสฉวน ไปที่ฮ่องกง และแอบกลับมาจีนปีเดียวกัน โดยแอบออกตระเวนเผยแพร่ลัทธิอย่างลับๆ ในปีเดียวกัน "หลิวส่วยเจิน" ภรรยาของจางจื้อหรัน ถูกจับกุมที่ซันตง

พรรคคอมมิวนิสต์ออกทำการโจมตีพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อส่วนแบ่งอำนาจการปกครอง ในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ลัทธิอนุตรธรรมออกประกาศชัดแจ้งโดยสนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋ง
เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๒ พรรคคอมมิวนิสต์ ออกประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประกาศว่า ผู้ใดใช้กิจกรรมทางศาสนาหรือลัทธิเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐ ถือเป็นกบฏต้องโทษประหาร ซึ่งในครั้งนี้มีผู้ถูกจับกุมและถูกประหารมากมาย รวมทั้ง "หลิวส้วยเจิน และจางอิงอวี้" ภรรยาและบุตรของจางจื้อหรัน ด้วย

๑๘ ธันวาคม ปีเดียวกัน ผู้นำลัทธิอนุตรธรรมกว่า ๑๓๐ คน ถูกจับกุมที่ปักกิ่ง ซึ่งซุนซู่เจิน และจางอู่ฝู ได้หลบหนีไปฮ่องกง
ลัทธิอนุตรธรรม เผยแพร่จากจีน ไปยังไต้หวัน โดยเริ่มแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๙ เพราะความสัมพันธ์ที่สนับสนุนกันมาแต่เดิมและปี พ.ศ.๒๔๙๗ ซุนซู่เจิน ก็ย้ายไปอยู่ไต้หวัน จนตายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ 

ต่อมา วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๐ รัฐบาลไต้หวันประกาศให้ลัทธิอนุตรธรรมเป็น "ลัทธิ" ที่ถูกต้องตามกฏหมายแต่ก็ทำความเข้าใจกับประชาชนชัดเจนว่าเป็นเพียง ลัทธิ ไม่ไช่ศาสนาพุทธหรือศาสนาอันใดทั้งสิ้น  
การที่รัฐบาลไต้หวันออกประกาศรับรองลัทธิอนุตรธรรมนี้ให้เป็นลัทธิที่ถูกกฏหมาย สันนิษฐานว่าผู้นำและสาวกในลัทธินี้เป็นผู้สนับสนุน "เจียงไคเช็๋ค" เมื่อครั้งจีน 2 ฝ่ายสู้รบกันพูดง่าย ๆ ก็คือเข้าร่วมฝ่ายการเมืองนั่นเอง 


*****************************
มีประวัติเพิ่มเติมจาก ลัทธิอนุตตรธรรม วิกิพีเดีย ดังนี้
ตำแหน่งธรรมาจารย์ได้สืบทอดมาจนถึงสมัยของจาง เทียนหรัน ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 เขาได้ย้ายศูนย์กลางของลัทธิไปที่เมืองเทียนจินในปี ค.ศ. 1935 เมื่อญี่ปุ่นเข้ารุกรานจีน สาวกหลายคนของลัทธิได้เข้าสนับสนุนญี่ปุ่น จึงทำให้ลัทธินี้รุ่งเรืองมากขึ้นในพื้นที่ที่ญี่ปุ่นยึดครอง[7] กองทัพจีนของพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งร่วมกันต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น จึงปราบปรามลัทธิอนุตตรธรรมด้วย จางเปลี่ยนชื่อลัทธิกลับไปเป็น "เทียนเต้า" เมื่อปี ค.ศ. 1940 และได้ใช้ทั้งสองชื่อสืบมาจนปัจจุบัน[8] เมื่อเทียนหรันถึงแก่กรรมแล้วซุน ฮุ่ยหมิง ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 อีกคนหนึ่งก็ปกครองสำนักต่อมา แต่ลัทธิยังคงถูกปราบปรามอย่างหนักจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 ส่งผลให้ลัทธิอนุตตรธรรมหมดไปจากประเทศจีนโดยสิ้นเชิงในปลายทศวรรษนั้น[7] ลัทธิอนุตตรธรรมจึงต้องย้ายไปเผยแผ่ที่ประเทศไต้หวัน ต่อมาจึงแพร่หลายในชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศต่าง ๆ และประชาชนพื้นเมืองในประเทศนั้นจนปัจจุบัน

**********************


แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียง "ลัทธิ" หนึ่งไม่ใช่ "ศาสนา" ทางพุทธมหายานก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็น "ศาสนาพุทธ" แต่ประการใด ในทางศาสนาเต๋าเองก็ปฏิเสธ ว่าไม่ใช่ "ศาสนาเต๋า" เช่นกัน แม้แต่พุทธเถรวาทเองก็ไม่เคยยอมรับว่าเป็นพุทธ...ส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่บ้านเกิด "ลัทธิอนุตรธรรม" ยังถือเป็นลัทธินอกกฏหมาย หลอกลวงประชาชน และเป็นอันตรายต่อการปกครองบ้านเมือง เนื่องมาจากเจ้าลัทธิต่างๆในจีนตั้งแต่ครั้งอดีตกาลนานมา ทำการก่อตั้งลัทธิเมื่อมีผู้ศรัทธามากเข้า ก็เพื่อจุดประสงค์ในการโค่นล้มอำนาจรัฐ หรือผลประโยช์แอบแฝงทั้งสิ้น


ในปัจจุบันยังมี ลัทธิเมตไตรยมหามรรค (彌勒大道) แตกแขนงออกมาจากลัทธิอนุตรธรรมด้วย โดย "เฉินห้าวเต๋อ" ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้สืบทอดของ "ซุนซู่เจิน" โดยนัย แต่การประกอบกิจกรรมนั้นแยกจากกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สาระหลักๆ นั้นเหมือนกันทั้งนี้ในการนำของ จางเหล่าเฉียนเหยิน 

(อนุตตรธรรมในประเทศไทยที่เป็นที่ยอมรับในวงการลัทธิคือสายที่นำเข้ามาโดยสายของหันเหล่าเฉียนเหยิน)



***********************************


__มีประวัติข้อสันนิษฐานจากบางแห่งเพิ่มเติมดังนี้__

เนื่องจาก "จางจื้อหรัน" ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 (คนเดิม) แต่งงานแล้วมีภรรยาชื่อ "หลิวส้วยเจิน" จางจื้อหรันเคยถูกทางการจีนจับขังคุกเป็นเวลานานร่วมปีในฐานเผยแพร่ลัทธิหลอกลวงประชาชน ต่อมาเมื่อพ้นคุกก็ต้องตายลงด้วยฝีมือซุนฮ่ยหมิง ส่วนหลิวส้วยเจินภรรยาและบุตรชายคือจางอิ่งอวี้ ถูกจับประหารชีวิตในระหว่างปี พ.ศ. 2492-2496 ทั้งนี้ "จางจื้อหรัน" "หลิวส้วยเจิน" และ "จางอิ่งอวี้" มีฐานะเป็น อาจารย์ อาจารย์แม่ และ ศิษย์ผู้พี่ของ "ซุนฮุ่ยหมิง"

ฉะนั้นเมื่อ "ซุนฮุ่ยหมิง" หรือ "ซุนซู่เจิน" ลอบวางยาฆ่าอาจารย์ตนเองโค่น "จางจื้อหรัน" ลงได้ จึงตั้งตนเองเป็นเจ้าลัทธิวิถีอนุตตรธรรม ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 แทน และเพื่อให้ผู้คนลืมเลือน สับสนในประวัติความเป็นมา เพื่อลบชื่อธรรมาจารย์คนเดิมออกจากความทรงจำ จึงตั้งสัตยาบรรณไม่นับญาติ ไม่เอ่ยนามถึงคนเดิมอีก แต่ตนเองเข้าสวมบทบาทประวัติศาสตร์ในระหว่างนั้นแทน อุปโลกมีสามีชื่อ "จางขุยเซิง" ขึ้นมาเป็นธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 ขึ้นแทนชื่อจางจื้อหรัน และลบชื่อจางจื้อหรันออกจากประวัติศาสตร์จึงยังทำให้ธรรมาจารย์รุ่นที่ 18 มี 2 คนคู่กันก็คือสองสามีภรรยาคู่นี้เพราะ สองผัวเมืยคู่นี้ได้อุปโลกว่าได้รับโองการสวรรค์จากพระแม่อนุตตรธรรมมารดาให้มีการปกครองแบบสามสามีภรรยาได้(ซุนซู่เจิน เป็นภรรยาคนที่สอง)  แต่ในอีกแง่หนึ่งลัทธินี้ได้มีการทำนายและสั่งสอนกันมานานว่าธรรมาจารย์จะมีได้แค่ 64 รุ่นเท่านั้น (รวมทั้งหมดตั้งแต่ยุคแรก)นอกจากนั้นถือว่าเป็นของปลอมเพราะฉะนั้น จางขุยเซิง หรือ เทียนหยาน จึงรีบอุปโลกตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่คู่กันในรุ่นนี้ไม่งั้นก็จะหมดโอกาศเป็นใหญ่ต่อไป และยังมีบันทึกไว้อีกว่า "จางขุยเซิง หรือ เทียนหยาน" เคยถูกทางการจีนจับขังคุกเกือบปีเหมือนชีวประวัติของจางจื้อหรันเช่นกันอีกด้วยทำให้หลายคนสันสนคิดว่า เทียนหยาน กับ จางจื้อหรัน เป็นคนเดียวกันแต่ความจริงเป็นคนละคน


หมายเหตุ : กงฉัง หรือเทียนหยาน ที่คนส่วนมากจะเข้าใจว่าเป็นจางจื้อหรัน ในความจริงอาจจะเป็นคนละคนกัน




***********************************
การเข้ามาเผยแพร่ของลัทธิฯ นี้ในประเทศไทย โดยนำเข้ามาจากไต้หวัน มีเตี่ยนฉวนซือมาจากไต้หวัน ทุกๆ อย่างตั้งแต่การเปิดฝอถังหรือสถานธรรม จึงต้องใช้วัตถุดิบทุกอย่างจากไต้หวันเป็นการผูกขาดทั้งหมด (ก็คือธุรกิจนั้นเอง)



ภาพธรรมอธิการชาวใต้หวัน "หันเหล่าเฉียนเหยิน" ผู้นำลัทธิอนุตตรธรรมล่าสุด



ขอบคุณ
http://www.yokipedia.com/vegetarian/117-2010-09-09-17-56-06
https://www.facebook.com/TiphaeKhwamCringLaththiThrrmPtirup?ref=ts&fref=ts

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น