วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เหตุไฉนลัทธิอนุตรธรรมนำเอาพระพุทธเจ้า3องค์มาผสมโรง ??



ภาพบน^^ภาพสุเมธดาบส (พระศากยมุนีในอดีตชาติ) นอนทอดกายเหนือโคลน
เพื่อให้พระทีปังกรพุทธเจ้าและพระสาวกเดินข้ามไป พร้อมรับพุทธพยากรณ์



เหตุไฉน ลัทธิอนุตรธรรมต้องนำเอาพระพุทธเจ้า
ถึงสามพระองค์มาผสมโรงปกครองยุคสามยุค ?? 

เรียบเรียงโดย..ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป

จากที่เคยชี้แจงแล้วว่า ลัทธินี้สอนว่าโลกนี้เกิดมาเมื่อหกหมื่นปีก่อน โดยเริ่มต้นเป็นยุคเขียว ถัดมาจึงเข้าสู่ยุคแดง และปัจจุบันเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคขาวยุคสุดท้าย กำลังจะเก็บกวาดโลก 
(และจะไปเริ่มสร้างโลก สร้างยุคโดยแม่องค์ธรรมใหม่ในอีกแสนกว่าปีข้างหน้านี้)

ในยุคเขียว เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้านามทีปังกร ปกครองธรรมกาล สอนบรรดากษัตริย์ นักรบ ชนชั้นสูงให้เข้าถึงธรรมะ (???!!!)

แล้วตามความเป็นจริงเป็นเช่นไร ??
ตามเนื้อความเดิมๆ แท้ๆ ในพระพุทธศาสนา จากหลักฐานในพระคัมภีร์ต่างๆ เนื่องด้วยเรื่องของพุทธวงศ์ คือ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งในอดีต และอนาคต ที่มีกล่าวถึงไว้

และเรื่องของพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้ระบุไว้ชัดเจนตรงกันทั้งทางมหายาน และเถรวาท

* พระทีปังกรพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในโลกเมื่อ 4 อสงไขยแสนกัปที่แล้ว ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกในพุทธวงศ์ของพระโคตมพุทธเจ้า

เรื่องราวของพระองค์ปรากฏทั้งในหลักฐานฝ่ายเถรวาทและมหายาน นามของพระองค์หมายถึงผู้ยังแสงสว่างให้เกิดขึ้น ชื่ออื่น ๆ ของพระองค์ได้แก่ พระสมันตประภาพุทธเจ้า พระประทีปประภาพุทธเจ้า พระสมาธิประภาพุทธเจ้า หรือพระปัจฉิมพุทธะทีปังกร

ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร 2 พระองค์ จึงเรียกพระองค์แรกว่า พระปุราณทีปังกร (ปุราณ แปลว่า เก่า) และเรียกพระองค์หลังว่า พระปัจฉิมทีปังกร

ทางเถรวาทได้กล่าวถึงประวัติของพระทีปังกรพุทธเจ้าไว้ว่า 

เมื่อศาสนาพระสรนังกรพุทธเจ้าอันตรธานไป ในสารมัณฑกัปเดียวกัน มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเป็นองค์ที่ 4 และเป็นองค์สุดท้ายของกัปนั้น พระนามว่า "ทีปังกร"
พระทีปังกรพุทธเจ้าประสูติเป็นทีปังกรราชกุมาร แห่งราชวงศ์แห่งรัมมวดีนคร พระบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุเทพและพระมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุเมธาเทวี

ทีปังกรราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ 10,000 ปี ในปราสาท 3 หลัง ชื่อว่า หังสา โกญจา และมยุรา เหมาะสมตามฤดูทั้ง 3  มีพระมเหสีนามว่า ปทุมาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก 300,000 นาง วันหนึ่ง ทีปังกรราชกุมารเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา

เมื่อพระนางปทุมาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อุสภักขันธกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาในราชอุทยานนั้นด้วยคชยาน 84,000 เชือก มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง

หลังจากทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา 10 เดือน ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระองค์ก็นำบริษัทเข้าไปบิณฑบาตข้าวปายาสในนคร  ตอนเย็นทรงปลีกจากคณะ ทรงรับหญ้า 8 กำ จากอาชีวกชื่อ อานันทะ และนำมาปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ใต้ต้นเลียบ (ต้นมะกอก) ปราบพระยามารกับพลมารนับอสงไข และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวนโกฏิหนึ่ง ที่สุนันทาราม ทำให้พระภิกษุโกฏิหนึ่งนั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 3 วาระ คือ
วาระที่ 1 แสดงปฐมเทศนา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา 100 โกฏิ

วาระที่ 2 แสดงธรรมแก่ อุสภักขันธกุมาร ราชโอรส ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา 100,000 โกฏิ

วาระที่ 3 แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา 90,000 โกฏิ

พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกและเทวดา 100,000 โกฏิ ณ สุนันทาราม

ครั้งที่ 2 ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก 100 โกฏิ ณ นารทกูฏ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรมานนารทยักษ์พร้อมบริวารหมื่นหนึ่ง ให้อยู่ในโสดาปัตติผล และทรงบวชมนุษย์ 100 โกฏิที่นำมาพลีกรรมยักษ์ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุเหล่านั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดภายใน 7 วัน

ครั้งที่ 3 ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก 90,000 โกฏิ ณ ภูเขาสุทัสสนะ

พระทีปังกรพุทธเจ้ามีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระสุมังคละเถระ และพระติสสะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระสาคตะเถระ

พระทีปังกรพุทธเจ้ามีพระวรกายสูง 80 ศอก เมื่อพระชนมายุได้ 100,000 ปี จึงปรินิพพานที่นันทาราม หลังจากนั้นพุทธศาสนาของพระองค์ก็ดำรงอยู่ต่อมานานถึง "100,000 ปี" จึงอันตรธานไป

โดยความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าศากยมุนีแห่งโลกนี้ คือตอนทีเสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบส เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าทีปังกร ได้นอนทอดตนเป็นสะพานเหนือเปือกตมให้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นข้ามไป จึงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า พระนามว่า พระโคดมพุทธเจ้า

ในคัมภีร์ทางมหายานชื่อ คัมภีร์พุทธมูลจริยาสูตร กล่าวว่า
“พระศากยมุนี เคยทรงอุบัติเป็นกุลบุตรเมื่อสมัยอดีตที่ยาวนาน เวลานั้นได้เข้าเฝ้า และได้สดับฟังธรรมจากพระทีปังกรพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด ในจิตให้เกิดปิติโสมนัสศรัทธาเป็นที่สุ ได้ถวายสักการะด้วยสิ่งมีค่าเป็นอันมากพร้อมทั้งสยายเกศาและน้อมกายของตนให้ พระทีปังกรเสด็จข้ามร่างไป ด้วยมิต้องการให้ มีสิ่งแปดเปื้อนต้องพระพุทธยุคลบาท

เมื่อพระบาทแห่งพระทีปังกรสัมผัสร่างแล้ว จึงตั้งปณิธานว่า  เราขอปณิธานสําเร็จซึ่งพระอนุตรสัมโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้องหน้า ประดุจพระทีปังกรพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดในวาระนี้ อย่างมิผิดเพี้ยนจากกันเลย และได้เป็นบรมศาสดาจารย์ แห่งเทวดาและมนุษยทั้งปวง”

ครั้งนั้น เมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระพุทธเจโตปริยญาณ ถึงมหาปณิธานอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่นั้นทรงทราบว่ากุลบุตรนี้ได้เพาะบ่มกุศลมูลสุกงอมแล้ว  จึงประทานพุทธพยากรณว่า จากนี้ไปอีกเก้าสิบเอ็ดกัลป ในกัลปชื่อวา “ภัทร” จักได้สําเร็จพระพุทธญาณในอนาคตกาลเบื้องหนา โดยจะมีพระพุทธนามว่า “ศากยมุนี ” อย่างแน่นอน ฯ

สรุปข้อสังเกต
>> พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงมาตรัสรู้เมื่อสี่อสงไขย์แสนกัปที่แล้ว (ยาวนานมาก มากเกินกว่าหกหมื่นปีของอนุตรธรรมจนประมานไม่ได้) ดังนั้น ไม่ใช่อย่างที่อนุตรธรรมอ้างยุคเขียวแน่นอน แล้วหลังจากสมัยแห่งพระพุทธเจ้าทีปังกร กว่าจะมาถึงพระพุทธเจ้าศากยมุนี ผ่านมาอีกหลายกัป มีพระพุทธเจ้าอีก ๒๓ พระองค์ จะทรงเสด็จไปอยู่ที่ไหน ?????

>> พระทีปังกรพุทธเจ้า โปรดสรรพสัตว์ที่พร้อมจะรู้ธรรมได้ ไม่ได้จำกัด เพราะปรากฏว่า การโปรดเทศนาพระธรรม ก็ไม่ได้ต่างจากพระศากยมุนี มีทั้งพุทธบริษัทสี่ ไม่มียกเว้นจำกัดอยู่ักับชนชั้นสูง กษัตริย์ ผู้ปกครอง อะไรอย่างที่อนุตรธรมอ้าง

ฉะนั้น คำตอบของแท้จึงมีว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงมีพุทธกรณียกิจเหมือนกัน ไม่ได้แตกต่าง แม้พระเมตไตรย และพระมหาโพธิสัตว์อื่นๆ อีกนับคณาที่จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็จะทรงมาสอนอย่างพระพุทธเจ้าศากยมุนี

และข้อสังเกตคือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีบริษัทสี่คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ต่างกัน ผิดกันตรงจำนวน และระยะเวลาของพระชนมายุที่โปรดสัตว์ในโลกอยู่ ไม่ใช่จะอ้างยุคขาวปัจจุบัน พระเมตไตรยมาเกิด ปรกโปรดครัวเรือน ไม่ใช่ยุคนักบวช

ตรงนี้เป็นตำนานฉาบฉวย เป็นเรื่องโกหกพกลมบ่อนทำลาย มอมเมาลวงหลอก

แล้วตามความเป็นจริง มีระบุชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทีปังกรมีพระชนมายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงเสด็จปรินิพพานไป
และพระศาสนาของพระองค์ยังดำรงสืบต่อมาอีก ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงอันตรธานจากโลกในสมัยนั้นไป

แล้วหกหมื่นปีของอนุตรธรรม ??
แล้วยุคเขียวที่อ้างว่ามีพระพุทธเจ้าทีปังกรปกครองอายุกี่ปี ??


นี่คืออีกหนึ่งรอบด่างใหญ่ หนึ่งรอยพิรุษใหญ่ ที่บรรพจารย์ลัทธิได้อุตส่าห์บิดเบือนปลอมแปลงแบบผู้ไม่มีความรู้ เอาไว้ให้สาวกรุ่นหลังตามล้างตามเช็ดแบบกลบรอยรั่วไม่มิ

แล้วเขาเคยอธิบายอะไรได้ นอกจากแถไป แต่งตำนานเพิ่มมั่วซั่วขึ้นไป หลบลี้หนีหน้าไป บางคนก็ไม่กล่าวถึงอีกกะให้หายไปตามกาลเวลา ...แต่ ความจริงก็ยังเป็นความจริง..ของลวงโลก อย่างไรก็ยังลวงโลก...


แล้วสรุปที่ว่า พระโองการฟ้าจริง สัจจะธรรมจริง 
มันจริงอยู่แค่ในลัทธิ 
แต่กับสากลแล้ว ...ลัทธิอนุตรธรรม ลวงโลกทั้งเพ นะจ๊ะ !!!




 ภาพบน^^สาวกจุดไฟที่ตะเกียงแม่องค์ธรรม หน้ารูปเคารพพระศรีอาริยเมตไตรยในคติมหายานของประเทศจีน  เพราะลัทธินี้มีคติว่า พระศรีอาริย์ปกครองธรรมกาลปัจจุบันแล้ว 
ซึ่งขัดแย้งกับความในพระคัมภีร์ และความเป็ยจริงในพุทธศาสนา


ลัทธิอนุตรธรรม แอบอ้างเอาพระพุทธเจ้าศากยมุนีปกครองธรรมกาลยุคแดง ซึ่งชาวพุทธในปัจจุบัน ย่อมทราบในพุทธประวัติดีอยู่แล้ว (ถ้ายังไม่ดีให้ไปศึกษาเอาจากตำรามาตรฐาน วิชาพระพุทธศาสนา เพราะพุทธประวัติเป็นสิ่งที่ชาวพุทธต้องเรียนต้องรู้ต้องทราบ)

และส่วนแห่งการแอบอ้างบิดเบือนพระเมตไตรยที่มาเกิดเป็นบรรพจารย์ในลัทธิอนุตตรธรรมคือ ลู่จงอี (ในอดีตจะกล่าวเช่นนี้ แต่ปัจจุบันบอกว่าแบ่งภาคลงมา และในประวัตอลู่จงอี ก็มีข้อความให้ลู่จงอีพูดว่าตนเองไม่ใช่เมตไตรย ซึ่งก็เป็นวิธีการกลบรอยด่างที่ค่อยๆ เสริม ค่อยๆ อุด ในลัทธิ)

เรื่องของพระศรีอาริย์เมตไตรย์ กับพิรุษที่ลัทธิอนุตรธรรมกลบไม่มิด อ่านได้ที่


https://www.facebook.com/photo.php?fbid=293486290761742&set=pb.270304969746541.-2207520000.1375940528.&type=3&theater

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=293486290761742&set=pb.270304969746541.-2207520000.1375940528.&type=3&theater

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=293489660761405&set=pb.270304969746541.-2207520000.1375940528.&type=3&theater

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=293495067427531&set=pb.270304969746541.-2207520000.1375940528.&type=3&theater

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=293504864093218&set=pb.270304969746541.-2207520000.1375940528.&type=3&theater


การที่ลัทธิอนุตตรธรรมยกเรื่องของพระศรีอารย์เมตไตรยขึ้นมาแอบอ้าง ต้องพิจารณาจากหลักฐานประกอบชั้นต้น คือ บทสวด "หมีเล่อเจินจิง" ของลัทธิสิ่งนี้จะเป็นหลักฐานชัดเจน เพราะมีกล่าวชัดว่าพระศรีอาริย์ลงมาเกิด และระบุถึงยุคปัจจุบันที่เข้าสมัยพระองค์แล้วด้วย

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ลัทธิอยากจะไปแก้ไขตลบแตลงแถไถ เพราะมันค่อนข้างกระจายไปทั่ว และหากจะแก้ คงต้องประทับทรงที่ศูนย์ใหญ่ลัทธิ เพื่อให้ผีเข้าทรงแต่งออกมาใหม่ เป็นบทสวดที่ลัทธิเอามามาล้างหมีเล่อเจินจิงเดิมในลัทธิตนเอง เพื่อความอยู่รอด แบบที่แมลงสาบปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์...

ซึ่ง อาจจะใช้ชื่อว่า "หมีเล่อเจินจิงจิง" นะจ๊ะ !!

ภาพบน^^ภาพพระพุทธปฏิมากร พระพุทธเจ้าสามพระองค์ในคติแนวตั้ง ตามอดีต ปัจจุบัน อนาคต
อดีต (ซ้าย) พระพุทธเจ้าทีปังกร ผู้ประทานพุทธพยากรณ์ว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีจะตรัสรู้โดยเที่ยงแท้ เป็นพระองค์แรก

ปัจจุบัน (กลาง) พระพุทธเจ้าศากยมุนี หรือพระโคตมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบรมศาสดาแห่งโลกปัจจุบันนี้ 
อนาคต (ขวา) พระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ พระอนาคตกาลพุทธะ จะมาตรัสรู้หลังจากสิ้นพระศาสนาพระพุทธศากยมุนีพุทธเจ้า ในอนาคตกาลข้างหน้า (อีกนาน)


ทีนี้ เรามาพิจารณาว่า บรรพจารย์ลัทธินี้ เหตุใดเจาะจงเลือกเอาพระพุทธเจ้าทีปังกร พระพุทธเจ้าศากยมุนี และพระศรีอาริยเมตไตรย มาเล่น...เป็นบริวารของธรรมมารดาจอมแพศยา

เหตุเกิดเพราะ พระประธานในวัดพุทธมหายานที่จีน !!!!!!
วัดพระพุทธศาสนาในฝ่ายนิกายมหายาน ที่ประเทศจีน จะนิยมตั้งพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถเป็นสามพระองค์เรียกว่า พระไตรรัตนพุทธะ (ซำป้อฮุก : ซานเปาฝวอ - 三寶佛)

ซึ่งคติการตั้งพระพุทธรูปประธานนี้ มีอยู่สองแนวทาง คือคติแบบแนวนอน และคติแบบแนวตั้ง
คติแบบแนวนอน คือการตั้งพระพุทธเจ้าสามพระองค์ที่พิจารณาจากเรื่องของทิศทาง คตินี้จะเป็นที่นิยมอย่างมาก ในวัดพุทธมหายานทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งเราได้ทำการตีแผ่ไปแล้วโดยคร่าว ๆ  พระประธานจะประกอบด้วยพระพุทธปฏิมาพระอมิตาภพุทธเจ้า พระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า โดยจะจัดตั้งเรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา

คตินี้ถือว่าพระพุทธเจ้าอมิตาภ มีพุทธเกษตรชื่อสุขาวดี อยู่ทางทิศตะวันตก พระศากยมุนีมีพุทธเกษตรคือโลกนี้ ชื่อสหาโลกธาตุ และพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า มีพุทธเกษตรชื่อศูทธิไวฑูรย์ อยู่ทางทิศตะวันออก

ทีนี้เมื่อเป็นคติตั้งพระประธาน เมื่อพระอมิตาภพุทธเจ้าอยู่ฝั่งซ้ายมือ ด้านทิศตะวันตก และพระไภษัชคุรุอยู่ฝั่งขวามือเป็นด้านทิศตะวันออก พระศากยมุนีอยู่ตรงกลาง หากตั้งอิงทิศทางแล้ว พระประธานจึงหันหน้าไปทางทิศใต้ และเรียงกันเป็นลักษณะแนวนอน (ที่ไม่อิงก็มี และส่วนใหญ่จะนิยมหันหน้าไปทางที่มีแม่น้ำ ทะเล ตามหลักฮวงจุ้ยมากกว่า)

ส่วนในคติแนวตั้ง อธิบายได้ว่าเป็นการตั้งพระประธานแบบเน้นองค์แทนแห่งพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน อนาคตซึ่งจะนำเอาพระพุทธเจ้าทีปังกร เป็นองค์แทนแห่งพระพุทธเจ้าในอดีต นำพระพุทธเจ้าศากยมุนีซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าแห่งโลกปัจจุบัน และนำเอาพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์แทนแห่งพระพุทธเจ้าในอนาคต มาตั้งเป็นประธาน  โดยเน้นพระศากยมุนีไว้ตรงกลาง ส่วนอีกสององค์ อาจจะตั้งสลับซ้ายขวากันไปในบางที่ จะมีข้อสังเกตคือ พระศรีอาริย์จะนิยมให้นั่งห้อยพระบาทลง และมักแสดงภาคเป็นพระโพธิสัตว์แบบมหาบุรุษ ซึ่งในลักษณะนี้ จะไม่ได้พบเห็นบ่อยเท่าในแบบคติแรก

ตามหลักแล้ว พระพุทธเจ้านั้น เสด็จมาตรัสรู้ในอดีตนั้นนับจำนวนพระองค์ไม่ได้ ทางมหายานเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นอจินไตย์ คือ พ้นประมาณ ดุจเรื่องของสรรพสัตว์ซึ่งก็มีความเป็นอจินไตย์เช่นกัน

และพระทีปังกรพุทธเจ้า ที่นำเอามาแทนพระพุทธเจ้าในอดีต เพราะมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นพิเศษกับพระพุทธเจ้าศากยมุนี ตรงที่เป็นผู้ประทานพุทธพยากรณ์รับรองการตรัสรู้ของพระศากยมุนีเป็นเที่ยงแท้พระองค์แรก
ดังนั้น ทางมหายานจึงถือว่ามีความสำคัญและมีความพิเศษจึงนำเอาพระปฏิมาพระองค์มาตั้งแทนพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหมด

ส่วนพระศรีอาริยเมตไตรย์ ที่นำเอามาแทนพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคต เพราะพระศรีอาริยเมตไตรย์ จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอย่างแน่นอนแล้ว ซึ่งในอนาคต พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ก็มีอีกนับประมาณไม่ได้เช่นกัน แต่พระเมตไตรย์นั้นจะถือว่าเป็นองค์แรกถัดไปในอนาคตกาลนั่นเอง จึงนำมาตั้งแทนไว้

ทั้งนี้ ในคติการตั้งพระพุทธรูปปฏิมาในทั้งสองคติ อาจจะมีรวมกันอยู่ในวัดๆ เดียว

เพราะในวัดมหายาน นิยมสร้างตามผังแปลนที่เป็นระบบระเบีย  มีวิหารเรียงรายกันเป็นแบบแผนและตามแบบฉบับที่นิยมจะมีวิหารแรกหน้าวัด นิยมตั้งพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ไว้ด้านหน้า มีพระเวทโพธิสัตว์ที่คุ้มครองอารามยืนด้านหลัง และมีท้าวจตุโลกบาลรายล้อม ถัดมา จึงเป็นอุโบสถ จะมีพระพุทธเจ้าศากยมุนีเป็นพระธาน และอาจจะมีพระอมิตาภพุทธ และพระไภษัชยคุรุพุทธในพระอุโบสถ และด้านหลังพระอุโบสถจึงเป็นวิหารบูรพาจารย์ นิยมสร้างสูงมีสองชั้น ด้านบนก็จะเป็นวิหารพระทีปังกรพุทธะบ้าง ธยานิพุทธะบ้าง แต่โดยนัยก็คือการแทรกคติของพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน อนาคตไว้นั่นเอง

>> และเนื่องจากคติแห่งพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน อนาคตนี้เอง บรรพจารย์ลัทธิอนุตรธรรม ย่อมไปเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทีปังกร คือองค์ปฐมต้นกาลแห่งโลก และพระศากยมุนีเป็นองค์ปัจจุบันที่ปรินิพพานแล้ว และพระเมตไตรยเป็นอนาคตที่สุ

เมื่อจะเอามาอ้างก็จะอ้างคติอดีต ปัจจุบัน อนาคต เอามาผสมปนเปลงกับตำนานลัทธิที่คิดกันอย่างวิจิตรพิสดารไม่เอาความเป็นจริงตามที่มาเดิม และรวบรวมผสมกับประวัติศาสตร์ ความเชื่อ อะไรเละเทะ โดยที่ไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจมาอย่างถูกต้อง เห็นอันไหนๆ ก็ตีความทึกทักเอาเอง แล้วแต่งเสริมเพิ่มเติมปลอมปนกันเอาเองจนปรากฏพิรุษแปลกปลอมประหลาดพิศดารให้ต้องมาบังเกิดการตีแผ่จวบจนปัจจุบัน !!!



.................._________________.................



ที่มา...ตีแผ่ความจริงลัทธิธรรมปฏิรูป















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น