ยุคแห่งพระโคดมพุทธเจ้าหมดแล้วจริงหรือ?
จากการที่ลัทธิอนุตตรธรรมได้แต่งตำนานใหม่ว่า ขณะนี้ยุคแห่งพระพุทธโคดมพุทธเจ้า หรือที่เขาเรียกว่ายุคแดงได้หมดไปแล้ว ! ทำให้พุทธบริษัทเช่นเราต้องทำเรื่องชี้แจงสักเล็กน้อย และก็ไม่ทราบว่าลัทธินี้เขาไปเอาข้อมูลมาจากใหน แล้วทำไมถึงอยากจะเร่งสาบส่งให้พุทธศาสนาดับเหลือเกิน
ในความจริงยุคปัจจุบันนี้ยังเป็นยุคแห่งพระโคดมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ทุกประการเพราะยังสมบูรณ์อยู่ทั้ง ปริญัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทุกประการ
โดยลำดับการอันตรธานแห่งพุทธศาสนานั้นขอยกข้อความ
จากหนังสือ พุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ ของพระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ ปริเฉทที่ ๒๙ ดังนี้
คำว่า อัตรธาน คือ ความเสื่อมสูญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มี ๕ ประการ คือ
๑.ปริยัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระปริยัติ
๒.ปฏิบัติอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการปฏิบัติ
๓.ปฏิเวธอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการสำเร็จมรรคผลนิพพาน
๔.ลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งเพศสมณะ
๕.ธาตุอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระบรมธาตุ
ปริยัติอันตรธาน
พระปริยัติ ได้แก่พระไตรปิฏกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก ตราบใดที่พระไตรปิฏกยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ด้วยอาศัยการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏก เมื่อพระปริยัติเสื่อมถอยหาบุคคลที่จะศึกษาเล่าเรียนน้อย ศาสนาก็เสื่อมถอยตามไปด้วย การเสื่อมถอยแห่งพระปริยัตินั้นจะมีสิ่งบอกเหตุให้ทราบเป็นลำดับคือ
เมื่อถึงกลียุคสมัย พระราชามหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี อีกทั้งหมู่อำมาตย์ราชเสนาบดี รวมทั้งอาณาประชาราษฏร์ทั้งในเมืองและชนบท ต่างพากันงดเว้นจากการประพฤติธรรม พากันหาความสุขสำราญตามอัธยาศัย ข่มเหงเบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินฟ้าอากาศก็วิปริต ผิดปกติฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาก็หายาก หมู่มนุษย์และสัตว์พากันลำบากเดือดร้อนขาดแคลนอาหารทั้งทรัพย์สินเงินทอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันอดอยากยากเข็ญแล้ว จตุปัจจัยไทยทานที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ดีมีสุขก็หายาก ภิกษุสงฆ์ก็พลอยได้รับความลำบากไปด้วย เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถสงเคราะห์กุลบุตรให้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติได้ ครั้นเมื่อพระปริยัติขาดผู้เล่าเรียนแล้วก็เสื่อมทรุดลงตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายจะไม่รู้ความหมายแห่งพระปริยัติ จะเหลือแต่บาลีอย่างเดียวแต่ขาดผู้รู้ความหมาย
ในการเสื่อมสูญแห่งพระไตรปิฏกนั้น พระอภิธรรมปิฏกจะเสื่อมก่อน พระอภิธรรมนั้นมี ๗ คัมภีร์ ได้แก่
๑.พระสังคิณี
๒.พระวิภังค์
๓.พระธาตุกถา
๔.พระปุคคลบัญญัติ
๕.พระกถาวัตถุ
๖.พระยมก
๗.พระมหาปัฏฐาน
ในพระอภิธัมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมลงจากยอด คือคัมภีร์มหาปัฏฐานก่อน ลำดับต่อไปก็เป็นคัมภีร์ยมก กถาวัตถุ จนถึงสังคิณี โดยลำดับ
เมื่อพระอภิธรรมปิฏกเสื่อมแล้ว ถ้าพระสุตตันตปิฏกและพระวินัยปิฏกยังดำรงอยู่ ก็ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่เช่นกัน
พระสุตตันตปิฏกนั้น เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมมาจากยอดคือ อังคุตรนิกายเสื่อมก่อน จากนั้นก็ถึง สังยุตนิกาย มัชฌิมนิกาย และทีฆนิกายเป็นสุดท้าย เมื่อทีฆนิกายเสื่อมแล้ว พระสุตตันตปิฏกจึงได้ชื่อว่าเสื่อมสูญ จากนั้นภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำซึ่งชาดกต่างๆ ได้ และชาดกที่จะเสื่อมเป็นชาดกแรกก็คือ เวสสันดรชาดก
ต่อจากนั้น ภิกษุทั้งหลายก็จะทรงจำไว้ซึ่งพระวินัยปิฏกเพียงอย่างเดียว ครั้นเวลาล่วงไป พระวินัยปิฏกก็เสื่อมลงเป็นปิฏกสุดท้าย และเมื่อเสื่อมคัมภีร์บริวารจะเสื่อมเป็นคัมภีร์แรก ต่อจากนั้นก็เป็นคัมภีร์ขันธกะ คือ จุลวรรค คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภิกขุณีวิภังค์ เสื่อมลงมาตามลำดับ จึงได้ชื่อว่าพระวินัยปิฏกเสื่อมสูญ
แม้กระนั้น พระปริยัติก็ชื่อว่าไม่เสื่อม ถ้าตราบใดที่ยังมีบุคคลสามารถจำคาถาแม้ไม่มากเพียง ๔ บาทเท่านั้น พระปริยัติก็ยังชื่อว่าไม่อันตรธาน แต่ถ้าเมื่อใด หาผู้รู้คาถาเพียง ๔ บาทนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อนั้น พระปริยัติ ชื่อว่าอันตรธานสูญสิ้นหาเศษมิได้
ปฏิบัติอันตรธาน
กาลเวลาผ่านไป ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะบำเพ็ญเพียรปฏิบัติให้เกิดฌาน วิปัสสนาและ มรรคผลได้ จะยังคงรักษาอยู่แต่ปาริสุทธิศีล ๔ เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านนานไปภิกษุทั้งหลายพากันเบื่อหน่ายต่อการที่จะรักษาให้บริสุทธิ์ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์ในการรักษาพากันเลิกละความเพียร มีแต่ความเกียจคร้านล่วงละเมิดอาบัติน้อยใหญ่ หมดสิ้นความละอาย แม้กระนั้นถ้าหากยังมีภิกษุทรงไว้ ซึ่งปาราชิกสิกขาบทอยู่แล้วปฏิบัติ ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน ต่อเมื่อไม่มีภิกษุสำรวมรักษาปาราชิกสิกขาบทแล้ว จึงได้ชื่อว่าปฏิบัติอันตรธาน
ปฏิเวธอันตรธาน
พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า ถ้ายังมีบุคคลสำเร็จเป็นพระโสดาบันแม้เพียงผู้เดียว ก็ยังชื่อว่าปฏิเวธยังดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกนี้หาผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลไม่มีเลยนั้น ปฏิเวธ ก็ได้ชื่อว่าถึงกาลอันตรธาน
ลิงคอันตรธาน
ต่อไปภายภาคหน้า ภิกษุทั้งหลายมีปฏิปทาไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส จะอยู่ในอิรอยาบถใดก็ไม่สำรวมเหมือนพวกเดียรถีย์ไม่มีความสำรวม ประพฤตินอกรีดอนาจารต่างๆ ผิดเพศภิกษุซึ่งเป็นพุทธสาวก แม้กระนั้นก็ยังชื่อว่าเพศสมณะ ยังไม่ถึงกับอันตรธาน
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ภิกษุทั้งหลายไม่ใช้ผ้าไตรจีวรมีสีอันควรแก่สมณเพศ เห็นว่าสีผ้ากาสาวพัสตร์ไม่มีความสำคัญ จากนั้นก็พากันละทิ้งบริขารแม้กระทั้งไตรจีวร พากันประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวทั้งบุตรและภรรยา จะมีก็แต่เศษผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ห้อยอยู่ที่คอหรือผูกไว้ที่ข้อมือเท่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นพระภิกษุ สมดังพระดำรัสที่ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า
“ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน”
ถึงแม้ภิกษุทั้งหลายจะมีความเป็นอยู่ย่อหย่อนถึงเพียงนั้น ก็ชื่อว่าเพศภิกษุยังคงอยู่ไม่อันตรธาน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุเหล่านั้นพากันละทิ้งผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ที่ติดตัวอยู่นั้นเสีย จึงได้ชื่อว่า ลิงคอันตรธาน คือเพศภิกษุสูญสิ้นไม่เหลือเศษอีกต่อไป
ธาตุอันตรธาน
ธาตุอันตรธานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ พระบรมธาตุนิพพาน “ และคำว่านิพพานนั้นมี ๓ ประการ คือ
๑. กิเลสนิพพาน คือการตรัสรู้ที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์
๒. ขันธนิพพาน คือการดับเบญจขันธ์ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา
๓. ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต
การนิพพานแห่งพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระบรมศาสดาที่ประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ เมื่อไม่มีผู้สักการะบูชาพระบรมธาตุก็จะเสด็จไปยังถิ่นประเทศที่มีคนเคารพสักการบูชา จวบจนวาระสุดท้ายมาถึง ทั่วทุกถิ่นประเทศหาผู้สักการบูชาไม่มีเลย พระบรมธาตุทั้งหลายจากโลกมนุษย์ เทวโลกและนาคพิภพ จะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ทั้งหมด แล้วรวมกันเป็นรูปของพระพุทธองค์ ทรงประดิษฐ์สถาน ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์นั้น ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ในที่นั้น แต่ในครั้งนี้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจะมิมีผู้ใดได้เห็นพระองค์เลย
ฝ่ายเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล จะพากันมาประชุม ณ ที่นั้น ต่างก็กรรแสงโศกาอาดูรเหมือนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้นที่พระสรีรธาตุเผาผลาญพระบรมธาตุจนหมดสิ้นหาเศษมิได้ เข้าถึงซึ่งความสูญหายไปจากโลก ได้ชื่อว่า “พระบรมธาตุนิพพาน”
อายุกาลแห่งพระพุทธศาสนาก็สิ้นสุดลง ในบัดนั้น
เมื่อพระบรมธาตุนิพพานแล้ว เหล่าเทพยดาพากันทำสักการบูชาแล้ว ทำประทักษิณสิ้น ๓ รอบเสร็จสิ้นต่างก็พากันกลับสู่วิมานของตนๆ ในเทวโลก
จากที่ยกเอาเรื่องลำดับการอันตรธานแห่งพุทธศาสนามาให้พิจารณาแล้วทุกท่านจะเห็นได้ว่าเหตุการดังกล่าวยังไม่มีอะไรเกิดสักอย่าง ยังไม่มีอะไรที่อันตรธานหายไปแม้แต่อย่างเดียว
ปริญัติก็ยังสมบูรณ์ดีมีผู้บวชเรียนเขียนอ่านทรงจำพระไตรปิฏกมากมาย
ปฏิบัติก็ยังสมบูรณ์ดียังมีผู้ปฏิบัติคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าอยู่ทั่วทุกหัวระแห่ง สำนักปฏิบัติธรรมและครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ยังมีให้เห็นถ้วนหน้า
ปฏิเวธคือผู้ปฏิบัติได้ถึงมรรคผลนิพพานก็ยังมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนะครับไม่เคยขาดเลย
เพศสมณะนักบวชและพระภิกษุสงฆ์ยังมีให้เห็นมากมายครับล้วนแล้วแต่มีจริยวัตรอันดีงามทั้งสิ้นและยังเป็นเนื้อนาบุญของโลกได้ตลอดมา
พระบรมธาตุก็ยังมีไห้ให้ประชาชนได้กราบใหว้สักการะมากมายทั้งตามวัดวาอารามตามสถูปเจดีย์ต่าง ๆ ทั่วเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปจนกระทั่งพระธาตุแห่งพระอรหันต์สาวกทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นเมือพระศาสนายังสมบูรณ์อยุ่ทุกประการเช่นนี้ย่อมหมายศาสนายังไม่ดับแน่นอนครับ ส่วนลัทธิใหนคนใหนที่มันคอยแต่จะยุแยงทำร้ายเร่งให้ศาสนาดับเร็ว ๆ สุดท้ายจะแพ้ภัยตัวเองทั้งสิ้น
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตามแต่พระธรรมวินัยต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งสอนก็ยังคงมีผู้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้อย่างสมบูรณ์ และผู้ที่ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเหล่านั้นก็ยังคงได้รับความสำเร็จถึงซึ่งมรรคผลนิพพานกันมาตลอดจวบจนทุกวันนี้ จึงเปรียบได้ว่าพุทธศาสนายังสมบูรณ์อยู่ทุกเมื่อ สมดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า
"ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่าดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้วพระศาสดาของพวกเราไม่มี
ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา"
(มหาปรินิพพานสูตร)
นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้อย่างเด็ดขาดก่อนปรินิพพานอีกด้วยว่า
" ถ้าพระภิกษุยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ "
นั่นก็หมายความว่าหากแม้นพุทธบริษัท4 ยังคงปฏิตามคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า ยังคงปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดแล้วพระพุทธศาสนาก็จะไม่มีวันดับแน่นอนครับ
....................__________________.....................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น