จดหมายจากอดีตสาวกลัทธิอนุตตรธรรม
เมื่อไม่นานนี้นะครับได้มีอดีตสาวกของลัทธิอนุตตรธรรมได้เขียนจดหมายส่งตรงมาให้ผมทางเฟสบุค facebook โดยทำเป็นเอกสารส่งมาตามรูปด้านล่างที่เห็นครับ และผมก็ได้มีโอกาศคุยกับอดีตสาวกท่านนี้มาก่อนหน้านี่แล้วล่ะครับและก็สนทนากันเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ โดยอดีตสาวกท่านนี้ต้องการที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนอยู่ในลัทธิจนกระทั่งเดินสะบัดหน้าหนีออกจากลัทธิมาได้โดยอดีตสาวกท่านนี้ต้องการให้ผมเผยแพร่จดหมายให้เป็นสาธารณะเพื่อเป็นอุทาหรณ์กับหลายท่านครับ
จดหมายที่ส่งมาอาจจะยาวสักหน่อยครับแต่เชื่อว่าได้สาระมากเพราะอดีดสาวกท่านนี้เมื่อก่อนนั้นเป็นสาวกกันทั้งครอบครัวโดยยอมใช้บ้านตนเองเปิดเป็นสถานธรรมย่อยของลัทธิ คุณแม่เป็นถันจู่(เจ้าตำหนักพระ) พี่สาวเป็นร่างทรง ส่วนอดีตสาวกท่านนี้ก็เป็นถึงผู้บรรยายธรรม(เจี่ยงซือ) และก็มีผลงานในลัทธิมากมายตั้งแต่รุ่นบุกเบิก แต่แล้วก็มีเหตการณ์พลิกผันให้เดินหนีจากลัทธิโดยไม่มีวันหวนกลับไปอีกเลย แล้วก็หันมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังจนพบทางสว่างในที่สุดครับ เรื่องราวเป็นเช่นไรลองติดตามกันดูนะครับ
อนุตรธรรมกับการเกิดในพุทธศาสนา
ต่อไปนี้เป็นเรื่องรวมเกี่ยวกับอนุตรธรรมและพุทธศาสนา
ที่ประสบพอเจอด้วยตนเอง
ที่ประสบพอเจอด้วยตนเอง
ขอเล่าประวัติตัวเองคร่าว ๆ นะครับ
สมัยเด็กนั้น
ผมเป็นเด็กวัด..อาศัยอยู่ที่วัด
กินนอนที่วัด..เนื่องจากว่าหลวงปู่ที่วัดมาขอผมกับแม่ตอนที่แม่ใส่บาตรตอนเช้า..ไม่มีคนช่วยท่านถือของเวลาที่ท่านออกบิณฑบาต ชีวิตผมจึงคลุกคลีอยู่กับวัดมาเกือบ 5 ปี จนกระทั้งหลวงปู่มรณภาพ จึงได้กลับมาอยู่บ้าน วันหนึ่งในสมัยที่ผมอยู่ชั้นมัถยมต้น ก็ได้มีโอกาสรับวิถีอนุตรรธรรม เนื่องจากว่าแม่ผมขายของรถเข็ญอยู่หน้าสถานธรรมและบ้านเราก็อยู่ใกล้ๆ
แถวนั้น ครอบครัวผมเรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรก
ๆ ของสถานธรรมเลยก็ว่าได้
รับธรรมะครั้งแรกตอนนั้นก็อายุ 15 ปีเองครับ
พูดกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกะคนใต้หวัน...เพราะเราพูดกันคนละภาษา 5555 สาเหตุที่รับนะหรือครับ...ก็งง ๆ เหมือนกันนะ
เพราะเราพูดกันคนละภาษา
สิ่งที่เข้าใจตรงกันคือ ธรรมะดี ๆ
หลังจากวันนั้นครอบครัวเราก็ช่วยเหลืองานในสถานธรรมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นทำกับข้าวเลี้ยงคนเมื่อมีงานประชุมธรรม บริจาคเงินทำบุญเวลามีชั้นเรียน ซึ่งเราก็เต็มใจนะครับ..เพราะถือว่าเป็นการช่วยคนเปลี่ยนแปลงคนให้เป็นคนดี โดยตัวผมเองนั้นเริ่มพูดธรรมะตอนอายุ 16 ปี เป็นครั้งแรก
ส่วนแม่ผมนั้นต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถันจู่(ตำแหน่งเจ้าตำหนักพระ) ส่วนพี่สาวผมนั้นเป็นอาจารย์บรรยายธรรม(เจี่ยงซื่อ) และสุดท้ายก็ได้มีโอกาสเป็นร่างทรง
(ซันไช่) ครอบครัวเราคลุกคลีในสถานธรรมมาโดยตลอด
ตัวผมเองนั้นได้มีโอกาสเข้าชั้นเรียนเยอะแยะมากมาก ทั้งประชุม 3 วัน
ชั้นชิงโขว่,
ชั้นขอขมาสำนึกกรรม,
ชั้นพัฒนาบุคลากร , การจัดค่ายเยาวชน
หนังสือธรรมะในสถานธรรมเรียกได้ว่าแทบจะอ่านทุกเล่มเลยก็ว่าได้...ตัวผมเองนั้นนอกจากจะเป็นอาจารย์บรรยายธรรม(เจี่ยงซือ)แล้ว..ยังมีหน้าที่เขียนพระโอวาทบนกระดาน เมื่อมีสิ่งศักดิ์ประทับทรง
พิมพ์พระโอวาทแจกจ่ายเมื่อชั้นเรียนจบแล้วอีกด้วย ผมเดินทางไปหลายที่มากเพื่อบรรยายธรรมะ ฉุดช่วยคนตามหลักการของอนุตรรธรรม ทั้งภาคเหนือ
ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก เรียกได้ว่าไม่กลัวการลำบากเลยละ อดหลับอดนอน
กินอยู่ไม่สะดวกสบาย เรียกว่าไม่เคยบ่น
แต่แล้วก็ต้องมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อพี่สาวผมเริ่มออกห่างจากสถานธรรม ไม่มาสถานธรรม ไม่บรรยายธรรมะ ไม่เป็นร่างทรง...เหตุผลนะเหรอครับ..เขาบอกว่าทุกคนมีแนวทางของตัวเอง หลังจากออกมาแล้ว พี่สาวผมก็ไปวัด ทำบุญปฏิบัติธรรมตามวัดป่าต่างๆ ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรถือเป็นเรื่องชีวิตของเขา ส่วนแม่ผมหลัง ๆ มาก็ไม่ได้ไปสถานธรรมเช่นเดียวกัน เหตุผลของแม่ก็คือ ที่ไหน ๆ ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน...สุดท้ายเหลือผมเพียงคนเดียว ที่ยังไปสถานธรรมสม่ำเสมอ..ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นสิทธิของแต่ละคน..โดยปกติแล้วครอบครัวของเราจะไปทั้งวัดและทั้งสถานธรรม และตัวผมเองก็สวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนที่จะมารับธรรมะซะอีก เพราะฉะนั้นเวลาสวดมนต์ไหว้พระของผมจะมีทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาจีน เต็มไปหมด ทั้งหมดที่ทำก็เพราะศรัทธาไงครับ เชื่อว่าทุกศาสนาเป็นเพียงกิ่งก้านสาขา ของอนุตรธรรม เชื่อว่า รับธรรมะแล้วไปนิพพานได้ เชื่อว่ารับธรรมะแล้วช่วยงานธรรมะแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิจะเมตตา เชื่อว่าสิ่งทั้งหมดที่ทำคือการทำหน้าที่แทนฟ้า ชุดช่วยผู้คน เชื่อว่านี้คือการบำเพ็ญ หลัง ๆ มาสถานธรรมเจริญเติบโตมากขึ้น ผู้คนก็มากขึ้นตามไปด้วย ผมเองก็มีโอกาสไปสถานธรรมน้อยลง เนื่องจากหน้าที่การงาน จนกระทั้งวันหนึ่งเราได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงๆ จัง ๆ ด้วยการบวช... เพราะการบวชนี้เองทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น มากจนเราต้องกลับมาถามตัวเองว่า....ที่ผ่านมาเราเป็นชาวพุทธจริงหรือ...เวลาชวนคนไปรับธรรมะ เราบอกเขาว่ารับธรรมะดี...เป็นหนทางตรง...เป็นทางลัดไปนิพพาน ไม่ได้เปลี่ยนศาสนา รับธรรมะแล้วยังไปวัดได้เหมือนเดิม...ไม่ต้องกินเจก็ได้...แต่ผิดถนัด
เมื่อมีโอกาสได้บวช...ผมเองมีเวลามากขึ้นกับการอ่านพระไตรปิฎก โดยเฉพาะหมวดชาดก เรียกว่ามีกี่เล่มอ่านหมด รวมถึงหนังสือมิลินทปัญหา เวลาที่เหลือก็นั่งสมาธิปฏิบัติภาวนา (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมหาไม่ได้เลยในสถานธรรม) ผมบวชอยู่เกือบ ๆ 2 เดือนครับ ถามว่าผมได้อะไรจากการบวช โลกที่กว้างขึ้นไงครับ คำสอนในอนุตรรธรมนั้น ช่างแตกต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอนเหลือเกินทั้งในเรื่องของนิพพาน เรื่องของการกินเจ เรื่องของกรรม สิ่งนี้และที่ทำให้ผมต้องคิดว่าศาสนาพุทธนั้นเป็นกิ่งก้านสาขาของอนุตรธรรมจริงหรือ...เหตุใดคำสอนจึงแตกต่างกัน หลานคนอาจสงสัยว่าทำไมผมจึงว่าแตกต่างกัน อย่าลืมนะครับ..ผมเป็นเจียงซือ(อาจารย์บรรยายธรรมะ) หนังสือเกือบทุกเล่มล้วนผ่านสายตาผมมาแล้วทั้งนั้น...อย่างอนุตรธรรมดา 10 บรรญัติที่ได้จากการประทับทรงของพระแม่องค์ธรรม ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของนิพพาน นี้ยังไม่นับรวมในเรื่องอื่นๆ นะครับ..นี้จึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องถอยห่างออกมาจากสถานธรรม แล้วลงมือปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ยิ่งศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วลงมือปฏิบัติ ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น...ท้ายที่สุดผมจึงออกมาจากสถานธรรมอย่างสิ้นเชิง...โดยไม่กลับไปอีก
แต่แล้วก็ต้องมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อพี่สาวผมเริ่มออกห่างจากสถานธรรม ไม่มาสถานธรรม ไม่บรรยายธรรมะ ไม่เป็นร่างทรง...เหตุผลนะเหรอครับ..เขาบอกว่าทุกคนมีแนวทางของตัวเอง หลังจากออกมาแล้ว พี่สาวผมก็ไปวัด ทำบุญปฏิบัติธรรมตามวัดป่าต่างๆ ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรถือเป็นเรื่องชีวิตของเขา ส่วนแม่ผมหลัง ๆ มาก็ไม่ได้ไปสถานธรรมเช่นเดียวกัน เหตุผลของแม่ก็คือ ที่ไหน ๆ ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน...สุดท้ายเหลือผมเพียงคนเดียว ที่ยังไปสถานธรรมสม่ำเสมอ..ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นสิทธิของแต่ละคน..โดยปกติแล้วครอบครัวของเราจะไปทั้งวัดและทั้งสถานธรรม และตัวผมเองก็สวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนที่จะมารับธรรมะซะอีก เพราะฉะนั้นเวลาสวดมนต์ไหว้พระของผมจะมีทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาจีน เต็มไปหมด ทั้งหมดที่ทำก็เพราะศรัทธาไงครับ เชื่อว่าทุกศาสนาเป็นเพียงกิ่งก้านสาขา ของอนุตรธรรม เชื่อว่า รับธรรมะแล้วไปนิพพานได้ เชื่อว่ารับธรรมะแล้วช่วยงานธรรมะแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิจะเมตตา เชื่อว่าสิ่งทั้งหมดที่ทำคือการทำหน้าที่แทนฟ้า ชุดช่วยผู้คน เชื่อว่านี้คือการบำเพ็ญ หลัง ๆ มาสถานธรรมเจริญเติบโตมากขึ้น ผู้คนก็มากขึ้นตามไปด้วย ผมเองก็มีโอกาสไปสถานธรรมน้อยลง เนื่องจากหน้าที่การงาน จนกระทั้งวันหนึ่งเราได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงๆ จัง ๆ ด้วยการบวช... เพราะการบวชนี้เองทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น มากจนเราต้องกลับมาถามตัวเองว่า....ที่ผ่านมาเราเป็นชาวพุทธจริงหรือ...เวลาชวนคนไปรับธรรมะ เราบอกเขาว่ารับธรรมะดี...เป็นหนทางตรง...เป็นทางลัดไปนิพพาน ไม่ได้เปลี่ยนศาสนา รับธรรมะแล้วยังไปวัดได้เหมือนเดิม...ไม่ต้องกินเจก็ได้...แต่ผิดถนัด
เมื่อมีโอกาสได้บวช...ผมเองมีเวลามากขึ้นกับการอ่านพระไตรปิฎก โดยเฉพาะหมวดชาดก เรียกว่ามีกี่เล่มอ่านหมด รวมถึงหนังสือมิลินทปัญหา เวลาที่เหลือก็นั่งสมาธิปฏิบัติภาวนา (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมหาไม่ได้เลยในสถานธรรม) ผมบวชอยู่เกือบ ๆ 2 เดือนครับ ถามว่าผมได้อะไรจากการบวช โลกที่กว้างขึ้นไงครับ คำสอนในอนุตรรธรมนั้น ช่างแตกต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอนเหลือเกินทั้งในเรื่องของนิพพาน เรื่องของการกินเจ เรื่องของกรรม สิ่งนี้และที่ทำให้ผมต้องคิดว่าศาสนาพุทธนั้นเป็นกิ่งก้านสาขาของอนุตรธรรมจริงหรือ...เหตุใดคำสอนจึงแตกต่างกัน หลานคนอาจสงสัยว่าทำไมผมจึงว่าแตกต่างกัน อย่าลืมนะครับ..ผมเป็นเจียงซือ(อาจารย์บรรยายธรรมะ) หนังสือเกือบทุกเล่มล้วนผ่านสายตาผมมาแล้วทั้งนั้น...อย่างอนุตรธรรมดา 10 บรรญัติที่ได้จากการประทับทรงของพระแม่องค์ธรรม ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของนิพพาน นี้ยังไม่นับรวมในเรื่องอื่นๆ นะครับ..นี้จึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องถอยห่างออกมาจากสถานธรรม แล้วลงมือปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ยิ่งศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วลงมือปฏิบัติ ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น...ท้ายที่สุดผมจึงออกมาจากสถานธรรมอย่างสิ้นเชิง...โดยไม่กลับไปอีก
ผมจึงกลายเป็นคนสุดท้ายของบ้านที่ออกจากสถานธรรมแล้วไม่กลับไปอีก คนที่รับธรรมะแล้วอยู่ในสถานธรรม
อ่านเรื่องที่ผมเขียนมานี้แล้ว...อาจจะเสียดายในการตัดสินใจของครอบครัวผม แต่ผมอยากบอกว่า ไม่ต้องเสียใจกับครอบครัวผมนะครับ...ทุกวันนี้ครอบครัวผมมีความสุขดี..เราทำบุญให้ทานและปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้เป็นเพียงแต่ทะเบียนบ้านที่ปรากฏในกระดาษ แต่เราเป็นชาวพุทธด้วยกายและใจ
ที่ผ่านมาอนุตรธรรมไม่ได้หลอกลวงอะไรเราหรอกครับ....แต่เราศรัทธาอนุตรธรรมโดยขาดปัญญา...เราศรัทธาโดยไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
คนที่รับธรรมะแล้วคงได้ยินเรื่องนี้นะครับ...คุณวิเศษของอนุตรธรรม อย่างเช่นว่า...ตายแล้วร่างกายอ่อนนิ่ม ชื่อถูกถอนจากนรกขภูมิ
บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานอีกเก้าชั่วโคตรได้รับการปรกโปรด สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ พระอาจารย์แบกรับหนี้สินเวรกรรมแทนศิษย์ นี้ผมยังไม่ได้นับรวมอีกหลายๆ
เรื่องนะครับ......แล้วพวกคุณรู้ไหมครับ...คุณวิเศษในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคืออะไร
คุณวิเศษสูงสุดเลยคือไปนิพพานครับ...นิพพานแบบพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องเกิดตายอีกนะครับ ไม่ใช่นิพพานแบบอนุตรธรรม ที่ไปเสวยสุขอยู่ 60,000
หมื่นปีแล้วต้องลงมาเกิดอีก
ไม่ต้องรับธรรมะชะตาชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงได้ครับ เพราะอะไรนะหรือ เพราะทาน
ศีล ภาวนาไงครับ
ซึ่งอย่างหลังนี้ผมเชื่อได้เลยว่าหาไม่ได้ในสถานธรรม...การภาวนาก็เพื่อให้เกิดสติ สติจะทำให้เรารู้เท่าทันในสิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น
ทำให้เราเห็นทุกข์ไม่ใช่หนีทุกข์แล้วเที่ยวไปให้ผู้อื่นแบกรับหนี้สินเวรกรรมแทนเรา พวกคุณเคยได้ยินไหมครับ..ปลูกเหตุเช่นไร
ได้ผลเช่นนั้น...ไม่มีใครแบกรับแทนใครได้หรอกครับ...แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง...เป็นถึงพระพุทธเจ้า...ท่านยังถูกพระเทวทัตกลิ้งหินมาถูกพระบาทจนห่อเลือด..อย่าลืมนะครับ...ท่านเป็นถึงพระพุทธเจ้า เรื่องแค่นี้ทำไมท่านจะหลบไม่ได้ แต่เพราะเป็นกรรมไงครับ กรรมในอดีตที่ท่านเป็นผู้สร้าง ท่านจะต้องเป็นผู้รับในชาตินี้ นี้ผมยังไม่รวมอภิญญา 6 และปฏิสัมภิทาญาณ 4
นะครับ ไหนจะญาณโลกียะอีก
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของที่พระพุทธเจ้าว่าเกิดขึ้นได้ มีได้
สำหรับผู้ปฏิบัติ
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้ครับ พิสูจน์ได้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เป็นของที่รู้เองเห็นเอง มิใช่คนอื่นบอกให้รู้ให้เห็น พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ ท่านสอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
ในขณะเดียวกันท่านก็ให้เราพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านสอนด้วยตัวเราเอง และการปฏิบัติของเรานั้นและจะเป็นพยานให้ตัวเราเองว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นประเสริฐแค่ไหน หากการปฏิบัติในสถานธรรมเมื่อตายแล้วร่างกายอ่อนนิ่ม เราเรียกสิ่งนั้นว่าวิเศษ
เหล่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนาแล้วร่างกายไม่น่าเปื่อย กระดูกหรืออัฐิธาตุของท่านเป็นพระธาตุนี้ไม่วิเศษกว่าหรือ
หากการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิแล้วมาให้โอวาท นั้นเรียกว่าวิเศษ สู้ท่านทำตัวให้รู้เองเห็นเองไม่วิเศษกว่าหรือ อนุตรธรรมนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปดัดแปลง บิดเบือนมากมาย ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่านี้เป็นกรรมอันหนัก
ยิ่งเนินนานไปกรรมนี้ก็จะสะสมจนเป็นอาจินกรรม
ด้วยผลแห่งกรรมนี้ผมเดาไม่ถูกเลยว่าท่านทั้งหลายจะประสบเคราะห์กรรมเช่นไร ที่ต้องพูดเช่นนี้เพราะผมเองก็ได้รับผลแห่งกรรมนี้เหมือนกัน สมัยที่ผมเป็นเจียงซือ
ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไปสอนแบบผิด ๆ
สอนโดยไม่ศึกษาหาความรู้
สอนโดยไม่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเท็จจริงประการใด
สอนโดยไม่เคยลงมือปฏิบัติ
ด้วยผลแห่งกรรมที่ทำให้ผู้อื่นหลงผิดทำให้การปฏิบัติของผมหลงทางไปใกล้และเสียเวลาหลายปี
กว่าจะกลับมาเป็นชาวพุทธในแบบที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างทุกวันนี้ ได้
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้
ผมไม่ขอให้ท่านเชื่อผมหรอกนะครับ...และผมก็ไม่ได้คิดที่จะทำลายศรัทธาท่านในการนับถืออนุตรธรรม เพียงแต่อยากจะบอกท่านว่า สิ่งที่ท่านไม่รู้นั้นยังมีอีกมาก ที่หาไม่ได้ในอนุตรธรรม เมื่อไหร่ที่ท่านเปิดใจ ท่านจะพบกับสิ่งใหม่ๆ เสมอ
ขอย้ำอีกครั้งนะครับ...ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ถ้าจะพิสูจน์มีวิธีการเดียวเท่านั้น คือท่านต้องลงมือปฏิบัติครับ อย่าเชื่ออะไรโดยเขาบอกให้เชื่อ และอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ท่านไม่รู้ เพราะจะทำให้ท่านพลาดโอกาสหลาย ๆ อย่างในชีวิต
โดย
ลูกพ่อ
-------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น