วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จดหมายจากอดีตสาวกลัทธิอนุตตรธรรม


จดหมายจากอดีตสาวกลัทธิอนุตตรธรรม

     เมื่อไม่นานนี้นะครับได้มีอดีตสาวกของลัทธิอนุตตรธรรมได้เขียนจดหมายส่งตรงมาให้ผมทางเฟสบุค facebook โดยทำเป็นเอกสารส่งมาตามรูปด้านล่างที่เห็นครับ   และผมก็ได้มีโอกาศคุยกับอดีตสาวกท่านนี้มาก่อนหน้านี่แล้วล่ะครับและก็สนทนากันเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้  โดยอดีตสาวกท่านนี้ต้องการที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนอยู่ในลัทธิจนกระทั่งเดินสะบัดหน้าหนีออกจากลัทธิมาได้โดยอดีตสาวกท่านนี้ต้องการให้ผมเผยแพร่จดหมายให้เป็นสาธารณะเพื่อเป็นอุทาหรณ์กับหลายท่านครับ    

    จดหมายที่ส่งมาอาจจะยาวสักหน่อยครับแต่เชื่อว่าได้สาระมากเพราะอดีดสาวกท่านนี้เมื่อก่อนนั้นเป็นสาวกกันทั้งครอบครัวโดยยอมใช้บ้านตนเองเปิดเป็นสถานธรรมย่อยของลัทธิ  คุณแม่เป็นถันจู่(เจ้าตำหนักพระ) พี่สาวเป็นร่างทรง  ส่วนอดีตสาวกท่านนี้ก็เป็นถึงผู้บรรยายธรรม(เจี่ยงซือ) และก็มีผลงานในลัทธิมากมายตั้งแต่รุ่นบุกเบิก  แต่แล้วก็มีเหตการณ์พลิกผันให้เดินหนีจากลัทธิโดยไม่มีวันหวนกลับไปอีกเลย  แล้วก็หันมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังจนพบทางสว่างในที่สุดครับ  เรื่องราวเป็นเช่นไรลองติดตามกันดูนะครับ




  อนุตรธรรมกับการเกิดในพุทธศาสนา
ต่อไปนี้เป็นเรื่องรวมเกี่ยวกับอนุตรธรรมและพุทธศาสนา
ที่ประสบพอเจอด้วยตนเอง

ขอเล่าประวัติตัวเองคร่าว ๆ นะครับ
สมัยเด็กนั้น ผมเป็นเด็กวัด..อาศัยอยู่ที่วัด  กินนอนที่วัด..เนื่องจากว่าหลวงปู่ที่วัดมาขอผมกับแม่ตอนที่แม่ใส่บาตรตอนเช้า..ไม่มีคนช่วยท่านถือของเวลาที่ท่านออกบิณฑบาต  ชีวิตผมจึงคลุกคลีอยู่กับวัดมาเกือบ 5 ปี  จนกระทั้งหลวงปู่มรณภาพ  จึงได้กลับมาอยู่บ้าน  วันหนึ่งในสมัยที่ผมอยู่ชั้นมัถยมต้น  ก็ได้มีโอกาสรับวิถีอนุตรรธรรม  เนื่องจากว่าแม่ผมขายของรถเข็ญอยู่หน้าสถานธรรมและบ้านเราก็อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น  ครอบครัวผมเรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรก ๆ ของสถานธรรมเลยก็ว่าได้  รับธรรมะครั้งแรกตอนนั้นก็อายุ 15 ปีเองครับ  พูดกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกะคนใต้หวัน...เพราะเราพูดกันคนละภาษา  5555   สาเหตุที่รับนะหรือครับ...ก็งง ๆ เหมือนกันนะ เพราะเราพูดกันคนละภาษา  สิ่งที่เข้าใจตรงกันคือ ธรรมะดี ๆ หลังจากวันนั้นครอบครัวเราก็ช่วยเหลืองานในสถานธรรมมาตลอด  ไม่ว่าจะเป็นทำกับข้าวเลี้ยงคนเมื่อมีงานประชุมธรรม  บริจาคเงินทำบุญเวลามีชั้นเรียน  ซึ่งเราก็เต็มใจนะครับ..เพราะถือว่าเป็นการช่วยคนเปลี่ยนแปลงคนให้เป็นคนดี  โดยตัวผมเองนั้นเริ่มพูดธรรมะตอนอายุ 16 ปี  เป็นครั้งแรก  ส่วนแม่ผมนั้นต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถันจู่(ตำแหน่งเจ้าตำหนักพระ)  ส่วนพี่สาวผมนั้นเป็นอาจารย์บรรยายธรรม(เจี่ยงซื่อ)  และสุดท้ายก็ได้มีโอกาสเป็นร่างทรง (ซันไช่)  ครอบครัวเราคลุกคลีในสถานธรรมมาโดยตลอด ตัวผมเองนั้นได้มีโอกาสเข้าชั้นเรียนเยอะแยะมากมาก  ทั้งประชุม 3 วัน ชั้นชิงโขว่,  ชั้นขอขมาสำนึกกรรม,  ชั้นพัฒนาบุคลากร , การจัดค่ายเยาวชน  หนังสือธรรมะในสถานธรรมเรียกได้ว่าแทบจะอ่านทุกเล่มเลยก็ว่าได้...ตัวผมเองนั้นนอกจากจะเป็นอาจารย์บรรยายธรรม(เจี่ยงซือ)แล้ว..ยังมีหน้าที่เขียนพระโอวาทบนกระดาน  เมื่อมีสิ่งศักดิ์ประทับทรง  พิมพ์พระโอวาทแจกจ่ายเมื่อชั้นเรียนจบแล้วอีกด้วย  ผมเดินทางไปหลายที่มากเพื่อบรรยายธรรมะ  ฉุดช่วยคนตามหลักการของอนุตรรธรรม  ทั้งภาคเหนือ  ภาคอีสาน  ภาคกลาง ภาคตะวันออก  เรียกได้ว่าไม่กลัวการลำบากเลยละ  อดหลับอดนอน  กินอยู่ไม่สะดวกสบาย เรียกว่าไม่เคยบ่น  

แต่แล้วก็ต้องมาถึงจุดเปลี่ยน  เมื่อพี่สาวผมเริ่มออกห่างจากสถานธรรม ไม่มาสถานธรรม ไม่บรรยายธรรมะ  ไม่เป็นร่างทรง...เหตุผลนะเหรอครับ..เขาบอกว่าทุกคนมีแนวทางของตัวเอง  หลังจากออกมาแล้ว  พี่สาวผมก็ไปวัด  ทำบุญปฏิบัติธรรมตามวัดป่าต่างๆ ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรถือเป็นเรื่องชีวิตของเขา  ส่วนแม่ผมหลัง ๆ มาก็ไม่ได้ไปสถานธรรมเช่นเดียวกัน  เหตุผลของแม่ก็คือ  ที่ไหน ๆ ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน...สุดท้ายเหลือผมเพียงคนเดียว     ที่ยังไปสถานธรรมสม่ำเสมอ..ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร  เพราะเป็นสิทธิของแต่ละคน..โดยปกติแล้วครอบครัวของเราจะไปทั้งวัดและทั้งสถานธรรม  และตัวผมเองก็สวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนที่จะมารับธรรมะซะอีก  เพราะฉะนั้นเวลาสวดมนต์ไหว้พระของผมจะมีทั้งภาษาไทย  ภาษาบาลี  ภาษาจีน  เต็มไปหมด  ทั้งหมดที่ทำก็เพราะศรัทธาไงครับ  เชื่อว่าทุกศาสนาเป็นเพียงกิ่งก้านสาขา  ของอนุตรธรรม  เชื่อว่า  รับธรรมะแล้วไปนิพพานได้  เชื่อว่ารับธรรมะแล้วช่วยงานธรรมะแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิจะเมตตา  เชื่อว่าสิ่งทั้งหมดที่ทำคือการทำหน้าที่แทนฟ้า  ชุดช่วยผู้คน  เชื่อว่านี้คือการบำเพ็ญ  หลัง ๆ มาสถานธรรมเจริญเติบโตมากขึ้น  ผู้คนก็มากขึ้นตามไปด้วย  ผมเองก็มีโอกาสไปสถานธรรมน้อยลง  เนื่องจากหน้าที่การงาน  จนกระทั้งวันหนึ่งเราได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงๆ จัง ๆ  ด้วยการบวช...  เพราะการบวชนี้เองทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น มากจนเราต้องกลับมาถามตัวเองว่า....ที่ผ่านมาเราเป็นชาวพุทธจริงหรือ...เวลาชวนคนไปรับธรรมะ  เราบอกเขาว่ารับธรรมะดี...เป็นหนทางตรง...เป็นทางลัดไปนิพพาน  ไม่ได้เปลี่ยนศาสนา  รับธรรมะแล้วยังไปวัดได้เหมือนเดิม...ไม่ต้องกินเจก็ได้...แต่ผิดถนัด  

เมื่อมีโอกาสได้บวช...ผมเองมีเวลามากขึ้นกับการอ่านพระไตรปิฎก  โดยเฉพาะหมวดชาดก เรียกว่ามีกี่เล่มอ่านหมด  รวมถึงหนังสือมิลินทปัญหา  เวลาที่เหลือก็นั่งสมาธิปฏิบัติภาวนา (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมหาไม่ได้เลยในสถานธรรม)  ผมบวชอยู่เกือบ ๆ 2 เดือนครับ ถามว่าผมได้อะไรจากการบวช  โลกที่กว้างขึ้นไงครับ   คำสอนในอนุตรรธรมนั้น  ช่างแตกต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอนเหลือเกินทั้งในเรื่องของนิพพาน  เรื่องของการกินเจ  เรื่องของกรรม  สิ่งนี้และที่ทำให้ผมต้องคิดว่าศาสนาพุทธนั้นเป็นกิ่งก้านสาขาของอนุตรธรรมจริงหรือ...เหตุใดคำสอนจึงแตกต่างกัน  หลานคนอาจสงสัยว่าทำไมผมจึงว่าแตกต่างกัน  อย่าลืมนะครับ..ผมเป็นเจียงซือ(อาจารย์บรรยายธรรมะ) หนังสือเกือบทุกเล่มล้วนผ่านสายตาผมมาแล้วทั้งนั้น...อย่างอนุตรธรรมดา 10 บรรญัติที่ได้จากการประทับทรงของพระแม่องค์ธรรม  ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของนิพพาน  นี้ยังไม่นับรวมในเรื่องอื่นๆ นะครับ..นี้จึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องถอยห่างออกมาจากสถานธรรม  แล้วลงมือปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน  ยิ่งศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วลงมือปฏิบัติ  ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น...ท้ายที่สุดผมจึงออกมาจากสถานธรรมอย่างสิ้นเชิง...โดยไม่กลับไปอีก

                ผมจึงกลายเป็นคนสุดท้ายของบ้านที่ออกจากสถานธรรมแล้วไม่กลับไปอีก  คนที่รับธรรมะแล้วอยู่ในสถานธรรม  อ่านเรื่องที่ผมเขียนมานี้แล้ว...อาจจะเสียดายในการตัดสินใจของครอบครัวผม  แต่ผมอยากบอกว่า  ไม่ต้องเสียใจกับครอบครัวผมนะครับ...ทุกวันนี้ครอบครัวผมมีความสุขดี..เราทำบุญให้ทานและปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้เป็นเพียงแต่ทะเบียนบ้านที่ปรากฏในกระดาษ  แต่เราเป็นชาวพุทธด้วยกายและใจ  ที่ผ่านมาอนุตรธรรมไม่ได้หลอกลวงอะไรเราหรอกครับ....แต่เราศรัทธาอนุตรธรรมโดยขาดปัญญา...เราศรัทธาโดยไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง  คนที่รับธรรมะแล้วคงได้ยินเรื่องนี้นะครับ...คุณวิเศษของอนุตรธรรม  อย่างเช่นว่า...ตายแล้วร่างกายอ่อนนิ่ม  ชื่อถูกถอนจากนรกขภูมิ  บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานอีกเก้าชั่วโคตรได้รับการปรกโปรด  สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้  พระอาจารย์แบกรับหนี้สินเวรกรรมแทนศิษย์   นี้ผมยังไม่ได้นับรวมอีกหลายๆ เรื่องนะครับ......แล้วพวกคุณรู้ไหมครับ...คุณวิเศษในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคืออะไร  คุณวิเศษสูงสุดเลยคือไปนิพพานครับ...นิพพานแบบพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องเกิดตายอีกนะครับ   ไม่ใช่นิพพานแบบอนุตรธรรม  ที่ไปเสวยสุขอยู่  60,000  หมื่นปีแล้วต้องลงมาเกิดอีก  ไม่ต้องรับธรรมะชะตาชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงได้ครับ  เพราะอะไรนะหรือ  เพราะทาน  ศีล  ภาวนาไงครับ  ซึ่งอย่างหลังนี้ผมเชื่อได้เลยว่าหาไม่ได้ในสถานธรรม...การภาวนาก็เพื่อให้เกิดสติ  สติจะทำให้เรารู้เท่าทันในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  ทำให้เราเห็นทุกข์ไม่ใช่หนีทุกข์แล้วเที่ยวไปให้ผู้อื่นแบกรับหนี้สินเวรกรรมแทนเรา  พวกคุณเคยได้ยินไหมครับ..ปลูกเหตุเช่นไร  ได้ผลเช่นนั้น...ไม่มีใครแบกรับแทนใครได้หรอกครับ...แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง...เป็นถึงพระพุทธเจ้า...ท่านยังถูกพระเทวทัตกลิ้งหินมาถูกพระบาทจนห่อเลือด..อย่าลืมนะครับ...ท่านเป็นถึงพระพุทธเจ้า  เรื่องแค่นี้ทำไมท่านจะหลบไม่ได้  แต่เพราะเป็นกรรมไงครับ  กรรมในอดีตที่ท่านเป็นผู้สร้าง  ท่านจะต้องเป็นผู้รับในชาตินี้    นี้ผมยังไม่รวมอภิญญา  6  และปฏิสัมภิทาญาณ 4 นะครับ  ไหนจะญาณโลกียะอีก  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของที่พระพุทธเจ้าว่าเกิดขึ้นได้  มีได้  สำหรับผู้ปฏิบัติ
                ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้ครับ  พิสูจน์ได้ด้วยการลงมือปฏิบัติ  เป็นของที่รู้เองเห็นเอง  มิใช่คนอื่นบอกให้รู้ให้เห็น  พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ  ท่านสอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ในขณะเดียวกันท่านก็ให้เราพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านสอนด้วยตัวเราเอง  และการปฏิบัติของเรานั้นและจะเป็นพยานให้ตัวเราเองว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นประเสริฐแค่ไหน  หากการปฏิบัติในสถานธรรมเมื่อตายแล้วร่างกายอ่อนนิ่ม   เราเรียกสิ่งนั้นว่าวิเศษ  เหล่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนาแล้วร่างกายไม่น่าเปื่อย  กระดูกหรืออัฐิธาตุของท่านเป็นพระธาตุนี้ไม่วิเศษกว่าหรือ    หากการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิแล้วมาให้โอวาท  นั้นเรียกว่าวิเศษ  สู้ท่านทำตัวให้รู้เองเห็นเองไม่วิเศษกว่าหรือ  อนุตรธรรมนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปดัดแปลง  บิดเบือนมากมาย  ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่านี้เป็นกรรมอันหนัก  ยิ่งเนินนานไปกรรมนี้ก็จะสะสมจนเป็นอาจินกรรม  ด้วยผลแห่งกรรมนี้ผมเดาไม่ถูกเลยว่าท่านทั้งหลายจะประสบเคราะห์กรรมเช่นไร  ที่ต้องพูดเช่นนี้เพราะผมเองก็ได้รับผลแห่งกรรมนี้เหมือนกัน  สมัยที่ผมเป็นเจียงซือ ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไปสอนแบบผิด ๆ  สอนโดยไม่ศึกษาหาความรู้  สอนโดยไม่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเท็จจริงประการใด สอนโดยไม่เคยลงมือปฏิบัติ  ด้วยผลแห่งกรรมที่ทำให้ผู้อื่นหลงผิดทำให้การปฏิบัติของผมหลงทางไปใกล้และเสียเวลาหลายปี  กว่าจะกลับมาเป็นชาวพุทธในแบบที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างทุกวันนี้ ได้ 


                ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้  ผมไม่ขอให้ท่านเชื่อผมหรอกนะครับ...และผมก็ไม่ได้คิดที่จะทำลายศรัทธาท่านในการนับถืออนุตรธรรม  เพียงแต่อยากจะบอกท่านว่า  สิ่งที่ท่านไม่รู้นั้นยังมีอีกมาก  ที่หาไม่ได้ในอนุตรธรรม  เมื่อไหร่ที่ท่านเปิดใจ  ท่านจะพบกับสิ่งใหม่ๆ เสมอ   ขอย้ำอีกครั้งนะครับ...ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น  ถ้าจะพิสูจน์มีวิธีการเดียวเท่านั้น  คือท่านต้องลงมือปฏิบัติครับ  อย่าเชื่ออะไรโดยเขาบอกให้เชื่อ  และอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ท่านไม่รู้  เพราะจะทำให้ท่านพลาดโอกาสหลาย ๆ อย่างในชีวิต

โดย  ลูกพ่อ

-------------------------------------------------------



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น