หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น กลฺยาณธมฺโม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่
คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะกาพระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่าง
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักท
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของ
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้ว
... เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกร
ที่มา : จากประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่
--------------------------------------------------------
พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธร รม
ถาม : นอกจากการห้ามฆ่าสัตว์แล้วท ำไมไม่ห้ามกินสัตว์ด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อ ม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเ ป็นการสนับสนุน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สั่งเขา อย่างไรเขาก็ทำอยู่แล้ว ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่ห้าม ? เพราะว่า คนไม่ใช่สัตว์กินพืช อย่างไรส่วนของเนื้อยังมีคว ามจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าให้เป็น ปวัตตะมังสะ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาค้าขายกันท ั่วไป ถ้าเป็น อุทิสมังสะ ไปเจาะจงสั่งเมื่อไรก็เฮงเม ื่อนั้น
เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้ น ครอบครัวเราไม่กินเนื้อสัตว ์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้ น เมืองเราทั้งเมืองไม่กินเนื ้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้ น เพราะฉะนั้น..คุณไม่สามารถจ ะแก้ไขการดำรงชีวิตของมนุษย ์ได้ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างกรรม ให้น้อยที่สุดได้
หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสั ตว์ รอจนกระทั่งสัตว์ตายก่อนถึง จะเอามาเป็นอาหาร แต่พอตอนหลังพวกอิสลามเข้าไ ปอยู่ในทิเบตจึงมีการฆ่าสัต ว์ คนทิเบตก็ไปเอาเนื้อที่เขาฆ ่าแล้วมากินได้
ที่มา> (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเ
เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้
หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสั
ที่มา> (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
--------------------------------------------------------
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เนื่องในโอกาสกินเจ
***เรื่องกิน
กระผมได้ปฏิบัติทางจิตมานาน
หลวงปู่ว่า
"ภิกษุจะบริโภคปัจจัยสี่ต้อ
--------------------------
***เรื่องกินมีอีก
สมัยต่อมาประมาณสี่เดือน ภิกษุกลุ่มนั้นมากราบเรียนห
หลวงปู่ว่า
"ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยส
--------------------------
***เรื่องกินยังไม่จบ...?
เมื่อวันแรม 2 ค่ำเดือน 3 พ.ศ. 2522 หลวงปู่พักอยู่ที่วัดป่าประ
หลวงปู่ว่า
"ดีทีเดียวแหละ ท่านผู้ใดสามารถฉันมังสวิรั
อนึ่งที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย
สรุปคือ....การจะกินเนื้อหร
--------------------------------------------------------
หลวงปู่ชา สุภัทโท
หลวงปู่ชาเทศน์เรื่องกินเจ
กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก"
พระโพธิญาณเถร(หลวงพ่อชา สุภัทโท)วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา
เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัต
บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อว
***หลวงปู่ชาตอบว่า
“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมั
ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะ
ให้รู้จักประมาณในการบริโภค
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรส
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ
ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจ
นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือน
การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั
เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเ
มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสอง
อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางค
“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจ
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นใ
เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโก
อย่าให้คิดอยูในการกระทำภาย
พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เห
องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตาม
แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้
ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้นั้
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเราสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพ
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที
(คัดลอกบางตอนมาจาก “ใต้ร่มโพธิญาณ” ใน ข่าวสารกัลยาณธรรม
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ , หน้า ๕๔-๕๕)
--------------------------------------------------------
หลวงปู่แหวนเทศน์เรื่องกินเ จ
..ธรรมะวันพระแรก..ของเทศกา
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า "การ เจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้
ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉ
ท่าน ดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยั
ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาส
๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑ
๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้า
๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้านนอน ตลอดชีวิต
๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิต
พระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอ
--------------------------------------------------------
ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครั
หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและ
ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "
หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "
ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "
หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้า
คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่
ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบ
หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี
"เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"
เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือ
ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "
หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเ
ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิ
ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเย
๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด
๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอ
๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองข
๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิ
๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ
เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการล
"ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า
ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ
ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบา
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุก
ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีว
เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้
เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริส
๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า
๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพร
๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่า
พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพร
โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล
"ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำล
จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ
๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเ
๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตร
๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชี
๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีว
๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ
ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาต
เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพร
ผู้ถาม : " กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้
หลวงพ่อ : " อานิสงส์ปัจจุบัน คือ
๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว
๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย
... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐาน
ผู้ถาม : " อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "
หลวงพ่อ : " ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลือ
"เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครั
หลวงปู่แหวนท่านบอก
"วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตั
ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั
๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วห
๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง
เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้
ผู้ถาม : " คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสั
หลวงพ่อ : " อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไห นแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเ นื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่ก ับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเน ื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพา นนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "
ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะ ว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้ว มีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "
หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็ นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีห รือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญ าณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้ พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขาร ุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ไ ด้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมั ยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น
๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมั งสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติข องเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ ่าเนื้อเจาะจงถวายตน
๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกครา ว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อ ป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห ้ามข้างต้น "
ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะ
หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็
๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมั
๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกครา
--------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------
http://www.youtube.com/watch?v=xOrVcAsm1dg
กินเจแก้กรรมได้หรือไม่
อาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง
-------------------------------------------------------
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
การรับประทานมังสวิรัติดีหรือไม่
การปฏิบัติงดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์นี้เป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขอสนับสนุน แต่ปัญหาสำคัญว่าผู้ปฏิบัติแล้วอย่าเอาความดีที่เราปฏิบัติไปเที่ยวข่มขู่คนอื่น การปฏิบัติอันใดปฏิบัติแล้วอย่าถือว่าข้อวัตรปฏิบัติของตนดีวิเศษแล้วเที่ยวไปข่มขู่คนอื่นนั้น มันกลายเป็นบาป เป็นฉายาแห่งมุสาวาท ไม่ควรทำ
ที่มา...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม (ธรรมปฏิบัติ)
ที่มา...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม (ธรรมปฏิบัติ)
--------------------------------------------------------
http://www.youtube.com/watch?v=xOrVcAsm1dg
อาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง
-------------------------------------------------------
มังสวิรัติ ฤาจะเป็นกับดักแห่งอาหาร
ก่อนไปลงไปถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ผมอยากขอยืนยันตรงนี้ก่อนครับว่า โดยหลักการแล้วผมเห็นด้วยกับการกินมังสวิรัติให้มาก กินสัตว์ใหญ่ให้น้อยที่สุดหรือไม่กินเลยเท่าที่เป็นไปได้ หากจำเป็นก็กินสัตว์ที่เล็กหรือกุ้ง หอย ปู ปลา เท่าที่เป็นไปได้แทน ในแง่ของงานวิจัยด้านสุขภาพใหม่ๆ รวมทั้งโครงการในด้านธรรมชาติบำบัดเกือบทุกโครงการ เห็นพ้องต้องกันว่า อาหารที่เหมาะสมและเป็นผลดีกับสุขภาพนั้นจะต้องเป็นอาหารแนวมังสวิรัติ โครงการของคุณหมอดีน ออร์นิสอนุญาตให้คนไข้โรคหัวใจขาดเลือดของเขากินไขมันได้ไม่เกิน 10% และไม่อนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดยกเว้นปลา ในขณะที่สมาคมแพทย์โรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้กินไขมันได้ถึง 30% ผลการรักษาของคนไข้ในโครงการของคุณหมอดีน ออร์นิสได้ผลดีมากและมีคนไข้จำนวนมากที่เส้นเลือดหัวใจกลับมาขยายได้หลังจากที่เคยมีการอุดตันจากไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องทำบอลลูน ทั้งนี้ใช้ร่วมกับยาสมัยใหม่เท่าที่จำเป็นใช้ร่วมกับการทำความเข้าใจกับ “จิตใจ” ของตัวเองในเรื่องความเครียดด้วย งานวิจัยยาวนานถึง 25ปีของคุณหมอวิลค็อกและคณะที่ทำการศึกษาชาวโอกินาวาทางตอนใต้ของญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกพบว่า อาหารของชาวโอกินาวาเป็นแนวมังสวิรัติและชีวิตโดยรวมๆ ของชาวโอกินาวามีความเครียดน้อย คุณหมอจาคอบจากอินเดียแนะนำเรื่องผลไม้มื้อเย็นและควรมีช่วงอดอาหารในบางวัน ไม่ควรกินอาหารหลังสองทุ่ม คุณหมอเดวิด ไซมอน คุณหมอแอนดรู วีล คุณหมอดีปัค โชปรา และอื่นๆ อีกมากมายที่มีประสบการณ์จริงกับคนไข้ ล้วนมีความเห็นในทำนองเดียวกันนี้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ “บูชาเจ” อย่างสุดขั้ว โดยไม่ได้เห็นภาพรวมแบบกว้างว่าเราทำอย่างนั้นเพื่ออะไร หากแต่การคิดแบบสุดขั้วในเรื่องอาหารนั้น ส่อแสดงให้เห็นถึง “มุมมองชีวิต” ที่แคบ ยึดติดและไม่เรียนรู้ มุมมองชีวิตแบบหลังนี้ไม่น่าจะเป็นหนทางแห่งความสุขที่แท้ได้เลย ผมยกประเด็นง่ายๆ โดยเริ่มในเรื่องของชนิดของอาหารที่กินเลยว่า หากเราคิดว่า การที่เราไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจผิดพลาดอะไรหรือไม่ เป็นทำนองว่าฆ่ามดไม่บาป ฆ่าคนถึงจะบาป ? เพราะในแง่นี้ ถ้าเราดูดีๆ เราก็จะพบว่า นักมังสวิรัติก็เป็นผู้เบียดเบียนชีวิตเช่นกัน เพราะพืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ภายในพืชก็เป็นกระบวนการที่นำพลังงานจากแสงอาทิตย์นำสารอาหารจากพื้นดินมาสร้างมาสังเคราะห์เป็นตัวพืช เหล่านี้แสดงอย่างชัดเจนว่าพืชมีชีวิต ทั้งยังมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกเหมือนกัน และมีการดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่เหมือนกันกับสัตว์ เสือ, สิงห์โตนั้นเป็นสัตว์ที่ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นสัตว์กินเนื้อ ก็มันกินพืชไม่เป็นนี่นา จะให้มันทำอย่างไร เพราะฉะนั้นทุกวันที่มันกินอาหารนั้นเป็นการสร้างบาปของมันหรือ? ส่วนกวาง, กระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่ถูกสร้างให้มากินพืช ในเวลาเดียวกันมันก็ถูกกำหนดให้เป็นอาหารของสัตว์ที่กินเนื้อ ตามกลไกของความเป็นห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ และมันก็ “ทำบาป” ไม่เป็นเสียด้วยเพราะมันกินเนื้อไม่เป็นเท่านั้นหรือ อย่าลืมว่ามันก็เบียดเบียนพืชเหมือนกัน ไม่เชื่อลองปล่อยกระต่ายสักฝูงเข้าไปในแปลงผักที่เราปลูกไว้สิครับ อย่าลืมนะครับว่า ทั้งเสือและสิงห์โต นั้น โดยธรรมชาติแห่งความเป็นปกติของมันนั้น มันจะไม่ฆ่า มันจะไม่ล่า หากว่ามันไม่หิว หากว่าไม่ได้ต้องการอาหารเพื่อความอยู่รอด หากเรามองในแง่ของ สิ่งที่ต้องเป็นไปเช่นนี้ เสือและสิงห์โตยังเป็นสัตว์ที่ทำแต่บาปอยู่ทุกวันหรือไม่ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่เน้นการสะสม และบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เฉพาะแต่ในเรื่องการกินเท่านั้นเกินกว่าที่จะจำเป็นต้องใช้ ซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหาและเกิดปัญหากับมนุษย์เองด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ ชาวอเมริกันเพียงประเทศเดียวซึ่งมีพลเมืองเพียงประมาณไม่ถึง 6 % ของพลเมืองโลก แต่กลับใช้และบริโภคทรัพยากรเกือบ 60% ของโลก ในขณะเดียวกันกับที่จะมีคนจากอีกซีกโลกตายเพราะไม่มีอาหารจะกินมากถึงวันละ 30,000-40,000 คน ผมคิดว่า ในเรื่องของการกินอาหารนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ “ชนิดของอาหาร” เป็นหลัก หากแต่อยู่ที่ “จิตสำนึก” ในการกินอาหารมากกว่า หากเรากินอาหารด้วยมุมมองที่มีความรู้เท่าทันตั้งแต่ในขณะที่เตรียมอาหาร การเคี้ยวอาหาร การกลืนอาหาร ไปจนจบกระบวนการกินอาหารทั้งหมด เราก็จะค่อยๆ เข้าใจ เรียนรู้และสามารถเลือกอาหารที่เหมาะสมกับร่างกายของเราได้ อย่างที่ไม่มีสูตรตายตัว ผมไม่เถียงว่านักปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่หลายคนเป็นนักมังสวิรัติแต่ผมไม่คิดว่านักมังสวิรัติเหล่านั้นเป็น “นักมังสวิรัติแบบภายนอก” ในทางตรงกันข้ามนักปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกหลายคนรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วยก็ไม่ได้เป็นนักมังสวิรัติ และท่านเหล่านี้กลับเป็น “นักไม่มังสวิรัติแบบภายใน” แต่ให้ความสำคัญกับ “แก่น” ของการกินอาหารอย่าง “รู้เท่าทัน” กระบวนการทั้งหมดมากกว่าที่จะมัวติดอยู่กับ “เปลือก” ภายนอก ที่เป็นเสมือนหนึ่ง “กับดักทางจิตวิญญาณ” ผมเข้าใจและทราบดีว่า การที่นักปฏิบัติธรรมหลายท่านอาจจะพยายามยกเรื่องการไม่เบียดเบียนชีวิต มาใช้ในเรื่องของการกินอาหารนั้น เป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คนบางกลุ่มได้ปฏิบัติตัว ช่วยกล่อมเกลาให้ชีวิตมี “ความอ่อนโยน” มี “เมตตาธรรม” มากขึ้นจริง หากแต่ชีวิตของคนเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าสู่ “ความอ่อนโยน” ที่แท้จริงได้เลย หากไม่มีมุมมองที่กว้างขึ้น, ยึดติดและไม่เรียนรู้ ในเส้นทางของชีวิตและมุมมองนั้น มันมี “กับดัก” มากมายเสียเหลือเกิน หากใครหลุดเข้าไปใน “กับดัก” แห่งความคิดเหล่านั้น ก็จะเสียโอกาสในเรื่องของพัฒนาการในด้านจิตวิญญาณที่จะหยุดนิ่งในกับดักเหล่านั้น กับดักแห่งการยึดติดนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ หากเราไม่หมั่นทบทวนตัวเอง หากเราไม่มี “สังฆะ” ไม่มีกัลยาณมิตรหรือความเป็นกลุ่มเป็นชุมชนที่คอยตักเตือนคอยร่วมกันทบทวนความคิด หากพวกเรามีความเข้าใจในเรื่องของกับดักแห่งการยึดติดนี้ เราก็คงจะไม่มีปัญหาในเรื่องที่จะคิดที่จะเข้าใจในเรื่องอื่นๆ อีกมากมายทั้งในแง่สุขภาพและในแง่อื่นๆ เป็นต้นว่า เราก็จะมีความเข้าใจได้เองว่า น้ำลูกยอ, หญ้าปักกิ่งหรือสาหร่ายสารพัดชนิดนั้นเป็นอย่างไร เราก็จะมีความเข้าใจว่าเราควรจะเต้นแอโรบิคหรือไม่ หรือเราเต้นแอโรบิคไปเพื่ออะไร และในที่สุดเราก็จะมีความเข้าใจเองว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ไม่ไปเป็น “สาวก” ของน้ำลูกยอ สาวกของหญ้าปักกิ่ง สาวกของสาหร่าย สาวกของแอโรบิคและอื่นๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา อย่างไรก็ตาม “การตกลงไปในกับดัก” ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากว่ารู้ตัวและตื่นที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมพรางเหล่านั้น และในที่สุดขอเรียนว่าจุดประสงค์ของบทความนี้ คงไม่ใช่เพื่อ “ติ” หากแต่เพื่อต้องการ “การกระตุ้น” ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นจากเดิมที่ดีอยู่แล้วจากการที่คนส่วนหนึ่งหันมานิยมบริโภคอาหารในแนวของมังสวิรัติ บรรณานุกรม นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ คอลัมน์จับจิตด้วยใจ เรื่อง “มังสวิรัติ ฤาจะเป็นกับดักแห่งอาหาร” หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2546
--------------------------------------------------------
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น