วิเคราะห์ลัทธิอนุตตรธรรม
ตีพิมพ์ผ่านวารสารวิทยาการจัดการปริทรรศน์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2553 หน้า 85-88
วันนี้ผมขอหยิบยกข้อความจากวารสารมาให้ทุกท่านอ่านนะครับ
เพื่อได้ทราบว่าในแวดวงการศึกษาเขามีความเห็น
ต่อลัทธินี้ไปในทิศทางใด
หน้า 85 > ลัทธิอี้กวนเต๋า
เป็นลัทธิใหม่หรือ เต๋าเพี้ยน ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวกับเต๋าที่เรารู้จักกันอยู่ ลัทธินี้กำเนิดขึ้นที่ไต้หวันขณะนี้กำลังหาสมาชิกจากศาสนาต่างๆในประเทศไทยเป็นการใหญ่โดยใช้ชื่อลัทธิว่า“อนุตรธรรม” ขอนำข้อเขียนของคุณกรองแก้วที่เล่าถึงเรื่องนี้มาให้ทราบ
“ดิฉันถูกเพื่อนชวนแกมบังคับให้เข้าไปรับธรรมะที่วัดจีนแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครพนม เขาให้เข้าพิธี
รับพระจ่ายเงินคนละ 100 (หรือ 200 บาท แล้วแต่สำนักของเขา) เขาเรียกให้ไปเจิมหน้าเจิมลงตรงระหว่างคิ้วเหนือดั้งจมูกหักเล็กน้อย เรียกว่าเปิดจุดญาณทวาร เปิดแล้วทำให้ตรัสรู้ได้ทันที เพราะเป็นยุคโลกเดือดร้อนหนักไม่ต้องรอปฏิบัติเสียเวลาหลายปี แล้วก็ให้คาถาลับเรียกว่า รหัสคาถา มีห้าคาคือ อู่ ไท่ ฝ่อ หมี เล่อ ห้าคำนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาดแต่ดิฉันคิดว่าของดีมันจะปิดไว้เป็นความลับได้อย่างไร เขาให้เรามีสมุดประจำตัวเราอยู่เล่มหนึ่ง เหมือนสมุดพกงั้นนะคะ เขาให้กราบเช้ากราบเย็นเอาติดตัวไปไหนต่อไหน ตอนนั้นดิฉันอยู่ ม.
ปลาย เพื่อนพาไปก็ไปตามๆ เขา เขาบอกให้จดชื่อก็จดตามเขาไปแบบไม่ได้คิดอะไรเกรงใจเพื่อนมากกว่าเพราะเพื่อนรักชวนเรามา ทราบว่าเขามีอุบายให้ช่วยหาสมาชิก หาได้มากเท่าไรก็ได้ไปสวรรค์สูงขึ้นเท่านั้น
พอเขาจดชื่อเราแล้วเราก็ต้องไปเข้าพิธีเพื่ออ่านชื่อของเราแล้วเผากระดาษที่มีชื่อของเรา (เป็นภาษาจีน) นั้นเพื่อส่งไปให้เทพเจ้ามีจุดธูปหลายดอกแล้วให้เทพเจ้า
หน้า 86 > บันทึกเอาไว้ว่าเรามีชื่ออยู่บนสวรรค์แล้วไม่ว่าเราจะ
ตายตอนไหนให้มั่นใจได้เลยว่าเราได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์แน่ๆ แล้วก็บริจาคเงินให้กับเขาไป ในใจตอนนั้นคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยแค่จ่ายเงิน
100 บาท แล้วให้เขาอ่านชื่อเราเนี่ยนะเราจะได้ไปอยู่สวรรค์ไร้สาระจังเลย แล้วเขาก็มีกฎมีกติกามีข้อห้ามสารพัด ตอนนั้นฟังแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแต่เราก็รู้ตัว
ณ ตอนนั้นว่านี่ไม่ใช่วิถีแห่งผู้รู้หรอกก็บอกไม่ถูกนะคะ
ว่าทำไมคิดแบบนั้นทั้งที่ไม่มีใครสอนแต่อีกใจหนึ่งตอนนั้นกลับรู้สึกสงสารผู้คนที่ไปบันทึกชื่อมากกว่า เขา
ต้องการที่พึ่งทางใจยึดเหนี่ยวเขาไม่รู้ว่าหนทางแห่งการไปสวรรค์ของคนพวกนี้นั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างที่เขาคิด เสียดายที่ต้องมาเสียเวลางมงายกับเรื่องไร้สาระ เวลาตายไปจะเอาบุญปลอมๆไปใช้ได้อย่างไร บุญดีๆ ทางศาสนาพุทธก็ไม่เอา
เเล้วนี่
อีกอย่างหนึ่งเขาอ้างว่า ศาสนาอนุตรธรรม
หรือเต๋าของเขานั้น เป็นต้นกำเนิดของทุกศาสนา คือ
พุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า ขงจื้อ เกิดจากอนุตรธรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้า พระเยซู พระมูฮัมหมัด ล้วนเป็น
ลูกน้องของอนุตรธรรมทั้งนั้น เขาเป็นแม่ของศาสนาทั้งปวง ดิฉันว่าเป็นการหมิ่นศาสนาที่น่าฟ้องร้องเอาความได้
อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่แค่อ้างถึงเฉพาะศาสนาคริสต์ มีการอ้างถึงศาสนาต่างๆด้วยเช่นกันพูดง่ายๆก็คืออ้างถึง 5 ศาสนาเลย คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า
ข๋งจื้อ โดยเฉพาะจะใช้คำสอนของศาสนาพุทธทางมหายานมาดัดแปลง มีการถือศีลกินเจ การบำเพ็ญธรรม การจ่ายซองทำบุญ การแจกหนังสือธรรมะ ซึ่งลัทธินี้ได้โฆษณาชวนเชื่อว่า เป็นศาสนาที่สูงส่ง นับถือแล้วทำให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง เช่น
1. ทำให้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตให้ดีขึ้นลดเคราะห์ภัยพิบัติ
2.รู้จักตนเองว่ามาจากไหน มีปัญญา
3.ได้รับการถอนชื่อจากบัญชียมโลกไปสถิต
บนสวรรค์
4. สามารถฉุดช่วยบรรพบุรุษ 7 ชั้น ลูกหลาน 9
ชั้น พ้นจากนรกทั้ง 10 ขุมได้
5.ได้รับนิรโทษกรรมจากองค์ธรรมมาร 70 %
6. มีไตรรัตน์สามารถคุ้มครองภัยได้(ไม่เหมือนไตรรัตน์ในศาสนาพุทธ ไม่เหมือน ไตรรัตน์ของเต๋า)
7. บำเพ็ญธรรมจิตวิญาณจะกลับคืนสู่แดนนิพพาน พ้นจากความ ทุกข์ทั้งปวง
คำสอนของลัทธินี้จะเอามาจากร่างทรงของหญิงสาว ที่ลัทธินี้เรียกว่าร่างคุณ จะมีพวกเซียนต่างๆมาเข้าทรงให้โอวาทเป็นภาษาจีน โดยเฉพาะจี้กงและโพธิสัตว์จันทร์ฯ พุทธเจ้า นบีมูฮัมหมัด พระเยซู
8 เซียน นาจา และอีกหลายมั่วไปหมด แต่คนที่หลงเชื่อและสาวกจะเป็นคนเรียบร้อย พูดจาไพเราะ แต่งกายสี
ขาวเรียบร้อย กินเจ บำเพ็ญพรหมจรรย์ซึ่งจะเอาความดีมาแสดง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นการหลอกกันทั้งเพเสียเวลาบำเพ็ญความดีที่ถูกทางของศาสนาพุทธ ตายไปจะเอาบุญไหนไปได้พึ่ง ชีวิตหน้าจะดีอย่างไร แล้วที่อวดว่าเจิมหน้าท่องคาถาแล้วสำเร็จตรัสรู้ดิฉันก็ไม่เห็นมีใครได้สำเร็จสักคน แต่ไม่เห็นมีใครคิดพิจารณา
ยอมให้หลอกกันไปเรื่อยๆ แล้วพาคนอื่นให้ไปถูกหลอกต่อไปเรื่อยๆ ดิฉันสงสารคนเชื่อง่ายพวกนี้พวกนี้ทำบาป สร้างมิจฉาทิฐิให้ญาติมิตร ดูถูกศาสนาของตนว่าไม่ดีเท่าของใหม่บาปมากนะคะ
ลัทธิอนุตรธรรมกลุ่มนี้อ้างตัวว่าได้รับโองการจากพระเจ้าหรือเรียกว่าองค์ธรรมมารดาให้มาโปรดชาวโลกและบอกว่าปัจจุบันนี้ไม่มีศาสนาใดและคนใดที่จะได้รับความรอดและไปสวรรค์ได้ต้องได้รับธรรมจาก
หน้า 87 > อาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมะเท่านั้นถึงจะได้รับความรอดจะได้ไปสวรรค์ได้ ส่วนมากกลุ่มนี้จะอ้างเรื่องราวประวัติของพระสงฆ์ทางพุทธมหาญาณ ตั้งแต่พระโพธิธรรมซึ่งเป็นพระสงฆ์อินเดียที่มาเผยแพร่ธรรมะในจีนโดยอ้างต่อไปว่า ได้มีการถ่ายทอดอนุตรธรรมจากพระโพธิธรรมต่อมาเรื่อยๆ จนถึงอาจารย์ปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใคร
ทราบว่าคือใคร
นอกจากนั้นยังอ้างถึงพระคำภีร์ไบเบิ้ลบางส่วนและอ้างถึงกางเขนของพระคริสต์ด้วย โดยบอกว่าไม้กางเขนอยู่ที่ตาสองข้างกับจมูก การจิ้มเจิมลงไปตรงนี้คือการประทับไม้กางเขนลงเป็นหน้า คนกลุ่มนี้จะอ้างว่าคนเราจะกลับสู่แดนนิพพานหรือสวรรค์ของพระเจ้าได้ต้องได้รับไตรรัตน์หรือสิ่งวิเศษ3ประการ คือจุดญาณ
ทวาร รหัสคาถา และลัญจกร
1.จุดญาณทวาร คือจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณ พวกลัทธินี้ก็จะเอาเรื่องพระเยซูโดนตรึงกางเขนและมีโจรอยู่ด้านข้างพระองค์ทั้งสองข้าง โดยกลุ่มจะบอกว่ากางเขนของพระเยซูคือปริศนาธรรม
กางเขนของโจรทั้งสองก็คือดวงตาซึ่งดวงทำให้เกิดความชั่วจากการมองเห็นสิ่งไม่ดีและอยากได้สิ่งต่าง ส่วนกางเขนของพระเยซูคือจุดญาณทวารก็คือใต้คิ้วทั้งสอง
ข้างอยู่บนดั้งจมูกระหว่างตาทั้งสอง ซึ่งกลุ่มนี้อ้างเรื่องกางเขนแบบผิดๆ โดยนำข้อความจากศาสนาคริสต์มา
ดัดแปลง (มัทธิว 7:13) คือ จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ
และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก ลัทธิอนุตรธรรมนี้จะอ้างว่าประตูที่แคบคือจุดญาณทวาร มนุษย์ต้องเปิดจุดญาณทวารก่อนถึงจะไปสวรรค์ได้ ก็อยากให้พี่น้องชาว
คริสต์โปรดระวังกลุ่มนี้ด้วยนะคะเพราะลัทธินี้จะตีคำในไบเบิ้ลแบบผิดเพี้ยนเอามาเป็นประโยชน์แก่ลัทธิตน
2. รหัสคาถา คือ คาถา: อู่ ไท่ ฝอ หมี เล่อ
ดิฉันทดลองท่องคาถานี้ดูหลายครั้งก็ไม่เห็นมีสิ่งมหัศจรรย์ใดๆที่เป็นมงคลเกิดขึ้น มันก็เหมือนคาถาเวทมนต์ทั้งหลายที่พวกเชื่อไสยศาสตร์ท่องบ่นกัน ช่วยอะไรไม่ได้จริง ที่น่าสงสัยคือเขาใช้อุบายบอกว่าเป็นความลับ อย่าไปบอกใครนะจะทำให้คาถานี้หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปหมด สวรรค์จะไม่ยอมบอกอะไรให้อีกแล้ว
มนุษย์จะเดือดร้อนโดยไม่มีเบื้องบนมาช่วย อะไรๆเขา
ก็อ้างเบื้องบนไปหมด
3.ลัญจกร พวกลัทธิอ้างว่าเป็นเครื่องหมายที่จะพาให้พ้นจาก 81 มหันตภัยในธรรมกาลยุคขาว ซึ่งลัทธินี้จะบอกว่าลัญจกรอยู่ที่มือทั้งสองของเรา โดยบอกว่ามีอยู่สองจุดคือใต้นิ้วนางและนิ้วก้อย พวกอาจารย์ของลัทธิกล่าวว่า คนอื่นไม่มีโอกาสรู้ว่าที่นิ้วมือของเรามี
ของดีอยู่ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายที่สุดที่นำมาหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้จักคิด
ต่อมาดิฉันได้ทราบว่าลัทธิอนุตรธรรมนี้ เป็นลัทธิหนึ่งที่มาจากไต้หวันชื่อ ลัทธิอี้กวนเต๋า มีสองสายไม่ถูกกัน
วิธีปฏิบัติก็มีการให้รับธรรมะ กินเจ ไหว้พระ
หลายร้อยครั้ง หาสมาชิก มีการเข้าค่ายกันบ้าง มีวิธีแยบยลในการชวนให้บริจาคเงินและ ใช้เวลามากมายในการไปทำกิจกรรมจนบางคนไม่เป็นอันทำมาหากิน เอาแต่หาคนไปเข้าลัทธิ และไปร่วมทำกิจกรรมกับเขา
ทั้งยังสิ้นทรัพย์ไม่น้อยไปกับการบริจาคในกิจกรรมต่างๆ
ของลัทธินี้ บางครอบครัวมีรายได้น้อยก็บริจาคจนแทบไม่มีอะไรกินลูกหลานต้องอดอยาก
อาจารย์ของพวกลัทธินี้พยายามทำให้ศิษย์บริวารของตนละทิ้งศาสนาเดิม เช่น บอกเสมอว่า ในศาสนาพุทธนั้นมีพระสงฆ์เลวๆนอกรีตนอกรอย
มากมาย เช่น ดื่มเหล้า เล่นการพนัน มีเมีย เล่นไสย
ศาสตร์ สะสมเงิน สู้ลัทธิอนุตรธรรมไม่ได้มีแต่คนดีๆ
ดิฉันได้ยินพวกอาจารย์ใหญ่ๆของเขากล่าวย้ำหนักหนาในข้อความนี้เพื่อให้ถอยห่างจากศาสนาพุทธ ดิฉันเห็นว่ามันเกินไป พระที่เลวนั้นมีอยู่พระที่ดีก็มีมาก พระเลวบางคนมีอยู่ก็ไม่ได้แปลว่าศาสนาพุทธเลว ดิฉันเป็นห่วงคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมากๆ เพราะว่าไม่ค่อยรู้เรื่องของศาสนาพุทธเท่าใดนัก ไม่รู้จักศาสนาพุทธดีพอจึงไม่แน่นแฟ้นในศาสนา พอเขามาชวนเข้าอนุตรธรรมก็เกรงใจไปกับเขาง่ายๆ ทั้งชวนลูกหลานภรรยาสามีไปด้วย แล้วค่อยๆทิ้งศาสนาพุทธทีละน้อยจนเข้าลัทธิอนุตรธรรมเต็มตัวทั้งครอบครัวไม่มีศาสนาพุทธใน
หน้า 88 > หัวใจอีกแล้ว จึงขอกล่าวว่าลัทธิอนุตรธรรมเป็นภัยต่อ
ความมั่นคงของพุทธศาสนา”
อยากให้ผู้อ่านพิจารณาคeสอนของลัทธิอนุตรธรรม เพื่อดูว่าลัทธิอนุตรธรรมกล่าวตู่ดูแคลนศาสนาอื่น
หรือไม่ ดังนี้
“อนุตตรธรรมเป็นแก่น ส่วนศาสนาเป็นคุณประโยชน์
อนุตตรธรรมเป็นรากเง้า ส่วนศาสนาเป็นกิ่งก้าน
อนุตตรธรรมเป็นแก่นธรรมที่อยู่ภายใน
ส่วนศาสนาเป็นคุณประโยชน์ของธรรมะที่อยู่ภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดในโลกก็แล้วแต่ขึ้นชื่อว่า ศาสนัง
ขึ้นชื่อว่าเป็นการสั่งสอน ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่เปลือกนอกทั้งนั้นยังไม่ได้เข้าถึงแก่นข้างใน”
*
เป็นอันว่าเขากล่าวยกตัวว่า ลัทธิอนุตรธรรมวิเศษสุด ไม่มีศาสนาใดจะยิ่งกว่า ใครจะเชื่อก็เชื่อไปเถิดครับส่วนผมไม่เชื่อเด็ดขาด
----------------------------------------
ขอบคุณข้อมูลจาก >วารสารวิทยาการจัดการปริทรรศน์
จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2553 หน้า 85-88 http://management.aru.ac.th/mnge/images/pdf/Research/bindertwo.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น