วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ซุน ฮุ่ยหมิง(วิกิพีเดีย)


ซุน ฮุ่ยหมิง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซุน ฮุ่ยหมิง (จีน孫慧明) เป็นจู่ซือคนสุดท้ายของลัทธิอนุตตรธรรม

ประวัติ[แก้]

ซุน ฮุ่ยหมิง มีนามเดิมว่า ซุน ซู่เจิน (จีน孫素真) เกิดที่อำเภอซั่น เมืองเหอเจ๋อ 
มณฑลซานตง จักรวรรดิชิง รัชสมัยจักรพรรดิกวังซวี่ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1895 
ได้เข้าเป็นสมาชิกลัทธิอนุตตรธรรมในสมัยที่ลู่ จงอี เป็นจู่ซือรุ่นที่ 17 ได้รับศาสนนาม
ว่าฮุ่ยหมิง เธอได้พบกับจาง ขุยเซิง ทั้งสองได้ช่วยกันเผยแผ่ลัทธิอนุตตรธรรมจนแพร่
หลาย ขุยเซิงมีภรรยาคนแรกแซ่จู แต่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1909 เขาจึงสมรสใหม่กับสตรี
แซ่หลิว และรับซู่เจินเป็นภรรยาคนที่สอง (ที่ยังมีชีวิตอยู่) โดยอ้างว่าทำตามพระประสงค์
ของสวรรค์ และยกย่องซู่เจินว่าเป็นพระภาคของพระจันทรปัญญาโพธิสัตว์ 
(จีน月慧菩薩)

เมื่ออาจารย์ลู่ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1925 ก็เกิดความแตกแยกขึ้นภายในลัทธิเพราะศิษย์
อาวุโสแต่ละคนต่างตั้งตนเป็นใหญ่เป็นอิสระต่อกัน ต่อมาลู่ จงเจี๋ย น้องสาวของอาจารย์ลู่
อ้างว่าพระแม่องค์ธรรมได้มาประทับทรงประทานอาณัติสวรรค์แต่งตั้งให้ตนเป็นผู้รักษาการ
จู่ซือไป 12 ปี แต่มีเพียงขุยเซิงคนเดียวที่ยอมรับ หลังจากรักษาการได้ 6 ปี ถึงปี 
ค.ศ. 1930 จงเจี๋ยจึงประกาศว่าพระแม่องค์ธรรมให้ขุยเซิงและซู่เจินรับสืบทอดอาณัติสวรรค์
ร่วมกันปกครองสำนักต่อในฐานะจู่ซือรุ่นที่ 18 และโดยขุยเซิงได้นามใหม่ว่ากงฉัง และซู่
เจินได้นามใหม่ว่าจื่อซี่[1] แต่กงฉังยังคงเป็นผู้นำหลักของลัทธิ และสามารถเผยแพร่ลัทธิ
จนแพร่หลายไปทั่วลุ่มแม่น้ำแยงซี

เมื่อกงฉังถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1947 ได้เกิดความแตกแยกขึ้นอีกในสำนักเพราะ 
จาง อิงอวี้ (บุตรชายคนเดียวของกงฉัง) และฮุ่ยหมิงต่างอ้างตนเป็นผู้นำลัทธิสืบต่อ
จากกงฉัง ฮุ่ยหมิงได้เปรียบกว่าเพราะได้รับแต่งตั้งเป็นจู่ซือคู่กับกงฉังมาตั้งแต่แรก 
เธอยังอ้างว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ประกาศผ่านร่างทรง (ซันไฉ) รับรองความชอบธรรมของเธอ
ให้ปกครองสำนัก นอกจากนี้จื่อซี่ยังอ้างตนเป็นพระภาคหนึ่งของพระแม่องค์ธรรมเอง
ด้วย[2] สาวกลัทธิอนุตตรธรรมส่วนมากจึงสนับสนุนฮุ่ยหมิง ทำให้เธอได้เป็นผู้นำสูงสุด
มานับแต่นั้น

ลัทธิอนุตตรธรรมในสมัยฮุ่ยหมิงถูกทางการปราบปรามอย่างหนัก เธอจึงลี้ภัยไปอยู่ฮ่องกง
ในปี ค.ศ. 1949 อยู่กัวลาลัมเปอร์ช่วงปี ค.ศ. 1951-2 แล้วย้ายกลับไปฮ่องกง สุดท้ายย้าย
ไปอยู่ไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ขณะนั้นทางการไต้หวันยังถือว่าลัทธิอนุตตรธรรมเป็นลัทธิ
เถื่อน เธอจึงต้องเก็บตัวอยู่ตลอดจนกระทั่งล้มป่วยและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ก่อนเสียชีวิต ฮุ่ยหมิงตั้งใจจะให้ Li Wensi บุตรบุญธรรมของตน ได้สืบตำแหน่งต่อเป็นจู่ซื่อ
รุ่นที่ 19 แต่ Li Wensi ถูกจับติดคุกในปี ค.ศ. 1953 จนตลอดชีวิต ส่วนฮุ่ยหมิงก็ถึงแก่กรรม
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1975 ทำให้ไม่มีใครได้เป็นจู่ซือต่อ แม้จะมีหลายคนอ้างตนเป็น
จู่ซือรุ่นที่ 19 แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสาวกส่วนใหญ่ ซุน ฮุ่ยหมิงจึงเป็นจู่ซือคนสุดท้าย
ของลัทธิอนุตตรธรรม หลังมรณกรรมของเธอได้มีการประกาศว่าพระแม่องค์ธรรมประทาน
อริยฐานะให้เธอเป็นจงหัวเซิ่งหมู่ (จีน中华圣母)[3]

ข้อมูลจาก-ซุนฮุ่ยหมิง

อ้างอิง[แก้]

  1. Jump up ศุภนิมิต, พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน, กรุงเทพฯ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิต, หน้า 31
  2. Jump up Religion and Democracy in Taiwan
  3. Jump up ศุภนิมิต, สายทอง 3, กรุงเทพฯ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิต, 62-4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น